วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สำนวน No kidding.

ความหมาย “ล้อเล่นหรือเปล่า” “ ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม” ใช้พูดเมื่อไม่แน่ใจว่าผู้พูดพูดเล่นหรือพูดจริง

อย่างเช่น นี่เธอ รู้เปล่าฉันได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมไทยฯ นะ I got elected president of Thai Association.

No kidding. That’s great. (ไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม ดีจัง)

หรืออย่างเช่น ปีหนึ่งผู้เขียนมาเที่ยวเมืองไทย ส่วนจะเป็นปีไหนเดือนไหนนั้น จำไม่ได้ขอรับ รู้แต่ว่าตอนนั้นยังหนุ่มมาก (ตอนนี้หนุ่มน้อย) เจอนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่เกาะพีพีเลยคุยกันถูกคอ ต่อมาฝรั่งทราบว่าผู้เขียนก็อยู่อเมริกาเหมือนกัน ก็เลยถามว่าผู้เขียนมาจากเมืองไหน

I came from Santa Cruz. (ไอมาจากเมืองซานตาครูซ) ผู้เขียนตอบ
ฝรั่งทำหน้าตื่นเต้น Wow! I did too. No kidding. (ว้าว ไอก็มาจากเมืองนั้นเหมือนกัน ไม่ได้ล้อเล่นเลย)

ตัวอย่างอื่นๆ
- No kidding, are you really going to buy a house. (จริงเหรอ ที่ว่าจะซื้อบ้านหลังนี้)

สำนวน Now you’re talking!

ความหมาย: ใช้ในความหมายว่า เรื่องที่คุณกำลังพูดอยู่ตรงประเด็น กล่าวคือคุยกันเรื่องเดียวกันหรือ (เริ่ม) คุยกันรู้เรื่องแล้ว เป็นประเด็นที่ถูกใจผู้พูด

อย่างเช่น มีลูกไม่รักเรียน เรียนไม่หมกมุ่นลุ้นแต่วิดีโอเกม อยู่ๆ วันหนึ่งก่อนไปโรงเรียนลูกบอกว่า Mom! From now on, when I get back from school, I’m going to study harder than ever. (ต่อแต่นี้ไปเมื่อลูกกลับจากโรงเรียน ลูกจะเรียนให้หนักกว่าที่เคย)

Now you’re talking. คุณแม่ตอบด้วยความดีใจ

หรืออย่างเช่น ทำงานมาหลายปีไม่เคยได้ขึ้นเงินเดือน วันหนึ่งผู้จัดการเรียกไปพบบอกข่าวดีว่าขึ้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง มีออฟฟิศส่วนตัว

“You offer me the raise and a corner office. Now you’re talking.
(คุณเสนอขึ้นเงินเดือนและให้ไปอยู่ออฟฟิศใหม่ อย่างนี้น่าร้ากกกกก ที่สุด)


หรืออย่างเช่น You’want to give me free tickets to Britney Spear Concert. Now you’re talking. (คุณให้ตั๋วคอนเสิร์ทบริทนี่ย์ สเปียร์ อย่างนี้น่าคุยกันหน่อย)

สำนวน Not again

ความหมาย: “ไม่น่าเชื่อว่า (มัน) เกิดขึ้นอีกแล้ว” , “ว้า ...เกิดขึ้นอีกแล้วหรือนี่”

การออกเสียง ให้ลากเสียงยาวๆ แบบเบื่อหน่าย อย่างสุดๆ

อย่างเช่น ภรรยากลับถึงบ้าน บ่นกับสามี Honey! I just got another speeding ticket. (ที่รักจ๋า ฉันถูกใบสั่งขับรถเร็วอีกใบแล้ว)
Not again! (อีกแล้วเหรอ) น่าปลื้มๆ เมียเรานักสะสมใบสั่ง

จิมควงแฟนสาวคนใหม่ออกงาน เพื่อนๆ ต่างพากันสวมหัวนินทาทันที Here comes Jim with a new girlfriend. (นั่นไงอีตาจิมควงแฟนคนใหม่อีกแล้ว)

Not again! (อีกคนแล้วเหรอ)

สำนวน My pleasure. หรือ It’s my pleasure.

เป็นภาษาพูด บางครั้งใช้ประโยคเต็มว่า It’s my pleasure. เวลาออกเสียง คำว่า pleasure ให้ออกเสียงเน้นหนักทั้ง 2 พยางค์

ความหมาย:

1) ใช้ในความหมายว่า ผู้พูดมีความยินดีอย่างยิ่งที่ ..... (ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง) มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า You’re welcome. (ไม่เป็นไร)

อย่างเช่น ผู้เขียนเห็นผู้สูงอายุ (กว่า) กำลังทุลักทุเลขนกล่องใบเขื่องขึ้นอพาร์ทเมนท์เลยเข้าไปช่วย Thank you for bringing my new TV up here. (ขอบคุณนะพ่อหนุ่มที่ช่วยขนทีวีขึ้นมา)

โห ทีวีนี่เอง ไม่น่า หนักฉิบ .... เป้ง รู้ยังงี้แกล้งทำเป็นไม่เห็นดีกว่า ฮิๆๆๆ

ครับ แน่นอน ผู้เขียนต้องกัดฟันยิ้มแป้น (น่ารักไหมครับ) ตอบว่า With my pleasure. (ด้วยความยินดีครับ คุณป้า)

งานนี้หอบรับประทานตามเคย แต่ก็มีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น

หรือหนุ่มๆ เดินไปส่งแฟนสาวถึงหอพัก Thank s for walking me here. (ขอบคุณมากนะคะที่เดินมาส่ง) แฟนสาวขอบคุณ

It was my pleasure. (เต็มใจที่สุดเลยครับ)

ครับ งานนี้ได้ไปอีก 2 คะแนน

2) ใช้ในความหมายว่า “ยินดีมากที่ได้รู้จัก” (happy to see/meet you)

ตัวอย่าง:

จิมแนะนำจอห์นให้รู้จักจิลแฟนสาว (คนใหม่) John, meet Jill, my girlfriend.

จอห์นตอบรับ ยินดีมากที่ได้รู้จักครับ “My pleasure”

สำนวน Don't hold your breath.

ความหมาย คือปกติเวลาเราลุ้นอะไรสักอย่าง เรามักจะกลั้นหายใจไว้หรืออาจจะหายใจไม่ทั่วท้อง ความหมายก็คือ อย่ากลั้นหายใจ (ลุ้น) ไม่ต้องลุ้น อย่าไปคาดหวังว่าจะเกิดขึ้น เพราะมันไม่มีทางเกิดขึ้นหรือเป็นไปได้ หรืออาจต้องใช้เวลานาน ถ้าขืนกลั้นหายใจลุ้นมีหวังหมดลมหายใจเสียก่อน

อย่างเช่น นี่เธอจ๋า เธอคิดว่าอีตาเดวิดจะเลิกกับทีน่าหรือเปล่า You think David will break up with Tina?

“Don't hold your breath!" (รอไปเถอะ)

หรือ เพื่อนมาขอยืมรถขับไปนิวยอร์ค Don't hold your breath (ฝันไปเถอะ) I said when my friend asked when he would be able to borrow my car.

หรือ ยุคนี้น้ำมันแพงรัฐบาลออกมาประกาศว่าราคาน้ำมันจะถูกลง The government said that gasoline prices would go down.

Oh, yeah! Don't hold your breath (งั้นเหรอ น่าเชื่ออยู่หรอก)

สำนวน Don’t ask.

ความหมาย อย่าถามดีกว่า เพราะคุณอาจจะไม่ชอบคำตอบ ซึ่งอาจไม่ถูกใจคุณหรือเลวร้ายกว่าที่คุณคิด, หรืออย่าถามดีกว่าเพราะผมไม่ต้องการพูดถึงอีกต่อไป

การสอบผ่านพ้นไป รุ่งขึ้นปะหน้าเพื่อน What was your final exam like? (สอบปลายเทอมเป็นไงบ้าง)

Don’t ask. (อย่าถาม มันชีช้ำวะ)

สำนวน My lips are sealed.


ความหมาย: ปิดปากเงียบสนิท ไม่เปิดเผยความลับ รู้แล้วไม่นำไปเล่าต่อ

เรื่องนินทาแล้วเก่ง ไม่ว่าประเทศไหน โดยเฉพาะพี่ไทยเราชำนาญมาก สาวๆ สุมหัวกันวิเคราะห์นังจิ๋มว่ามีกิ๊ก จากนั้นก็กำชับกัน I hope you don’t tell anyone about this. แหนะ มีการกำชับด้วยว่าอย่าไปบอกต่อละ

แน่นอน ทุกคนรับปาก ไม่บอกต่อก็ไม่บอกต่อ Don’t worry. My lips are sealed. (ไม่ต้องห่วง ฉันจะเย็บปากปิดสนิท ให้เอาชะแลงมางัดก็ไม่ยอมเผยปาก)

ครับ ก็ปิดกันให้แซด เพราะรู้กันทั่วหมู่บ้าน

อย่างนี้ต้องเชื่อๆ

อนึ่ง คำว่า lip ปกติแปลว่า ริมฝีปาก มีรูปพหูพจน์เสมอ เพราะใครๆ ก็ 2 lips กันทั้งนั้น คือมีทั้งริมฝีปากบนและริมฝีปากล่าง แม้แต่คนปากเบี้ยวก็ยังมี 2 ริมฝีปากเลย

ปัญหามีว่าแล้วคนปากแหว่งละ ต้องเติม s ไหม

That’s a good question? (ฮือ .... เป็นคำถามที่กวนดีมาก) ก็ขอตอบแบบ (กวนๆ) น้ำใสๆ เลยว่าน่าจะเติม s นะ เพราะ lips ในที่นี้หมายถึง lips ของคนทั่วไป ไม่ได้หมายถึงของคนใดคนหนึ่ง

ส่วนคำว่า seal ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง แมวน้ำ ตราประทับ (ของหน่วยราชการ) หรือหน่วยรบใต้น้ำของกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งเรียกว่า Navy seal แต่ถ้าเป็นคำกริยา แปลว่า ปิด (ปากถุง)

โดนตีหัวแบะมา มาให้หมอเย็บ อย่างนี้ก็เรียกว่า seal the wound

ปิดซองจดหมาย เรียกว่า seal the envelop (package)

ถุงพลาสติกที่มีซิปรูด ก็เรียกว่า seal the bag แปลว่า ปิดปากถุง

สำนวน Do I make myself (perfectly) clear?

ความหมาย (คุณ) เข้าใจที่พูดไปหรือเปล่า มักใช้พูดเมื่อต้องการเน้นว่าผู้พูดซีเรียส อันนี้อย่าลืมทำหน้าทำตาให้ขึงขังด้วยนะครับ คนฟังจะได้กลัวหรือเกิดความยำเกรงขึ้นมา มักใช้พูดกับเด็กๆ หรือนายจ้างออกคำสั่งแก่ลูกจ้าง

อย่างเช่น เด็กๆ ไม่ยอมทำการบ้าน เราต้องจับเด็กมานั่งที่โต๊ะ You’re going to sit right here and finish your homework. Do I make myself perfectly clear? (นั่งตรงนี้เลยนะ แล้วทำการบ้านให้เสร็จ เข้าใจหรือเปล่า)

หรือมีไอ้หนุ่มหน้าตึ้งมาเซ้าซี้เราชวนไปดูหนัง ชวนได้ทุกวัน ปฏิเสธไปกี่ครั้งๆ มันก็ยังตื๊อ เลยเกิดอารมณ์เสียตวาดแว้ด No, the answer is No! Do I make myself clear? (ไม่ๆๆๆๆ คำตอบ (สุดท้าย) ก็คือไม่ ไม่เข้าใจตรงไหนเหรอ)

หรือเพื่อนมายืมเงินเรา โห ... ใครจะให้ยืม ของเก่ายังไม่ได้คืนเลย ขืนให้ไปอีกมีหวังหายไปกับสายลมและแสงแดด เช่นนี้ เราอาจปฏิเสธได้ No way Jose. Do I make myself clear?

สำนวน Daylight robbery

ความหมาย ตรงกับสำนวนไทยๆ ว่า “ปล้นกลางวันแสกๆ” ความหมายก็คือเราโดนชาร์จค่าแรง (หรือค่าของ) เกินราคาปกติ (overcharge) โดนขูดเลือด เพราะเราไม่มีทางเลือกอื่น ของราคาแค่ 3 ดอลฯ แต่โดนขูดเลือดเป็น 10 ดอลฯ.

อย่างเช่น เมื่อไม่กี่เดือนก่อนผู้เขียนขับรถลงใต้ในเวลากลางคืนเพื่อไปแอลเอเมืองนางฟ้ายังหลง ขับผ่านทะเลทรายมาได้ครึ่งทาง เครื่องเกิดโอเวอร์ฮีทเครื่องเลยสำออยสำลัก 2 ทีก็สิ้นใจ ผู้เขียนถึงกับปลื้มเพราะหันหน้าหันหลังก็ไม่เห็นรถวิ่งมาสักคัน โทรศัพท์มือถือก็ไม่มีสัญญาณ พอดีมีรถวิ่งผ่านมาเลยโทรไปหาเพื่อนที่แอลเอ ดีใจเป็นที่สุดเพราะได้เบอร์โทรศัพท์รถลากของคนไทย เลยโทรไปหา

คืนนั้นก็เลยมาถึงแอลเอดังใจนึก แต่ปรากฏว่าค่าลากรถแค่ 400-500 ดอลฯ. เอง เพราะพี่แกคิดเป็นไมล์

ครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ ก็ต้องยิ้มแป้นควักกระเป๋าจ่าย The amount of money which they charged for towing my car was daylight robbery. (ค่าลากรถสุดแพงเหมือนถูกปล้นกลางวัน ทั้งๆ ที่เป็นกลางคืน)

- The cost of renting a car in the desert town is daylight robbery. (การเช่ารถในเมืองแถบทะเลทรายช่างแพงมหาโหด เหมือนโดนปล้นเอาดื้อๆ)

สำนวน Cut it out! หรือ Cut that out!

คำแปล “ตัดออกไป” เป็นภาษาพูด หมายถึง “หยุดเดี๋ยวนี้” คือให้หยุดสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ ถ้ากำลังถูกกลั่นแกล้งหรือแหย่ ก็ให้หยุด ถ้ากำลังพูดอยู่ก็ให้หยุดพูด

อย่างเช่น That noise is really annoying. Cut it out! (เสียงนั้นมันดังเหลือเกิน หยุดเดี๋ยวนี้)

หรือ เรากำลังตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือในห้อง เพื่อนที่นั่งอยู่แถวหลังห้องเอากระดาษขว้างรบกวนตลอดเวลา อย่างนี้เราอาจตวาดแว้ดได้ว่า Cut it out. (หยุดนะ)

หรือ พี่กับน้องเหมือนลิ้นกับฟัน หมูกับหมา ปลากับแมว ... และอะไรอีกหลายๆ อย่าง อยู่ใกล้กันเมื่อไหร่สงครามกลางเมืองย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น วันนี้เกิดการยื้อแย่งรีโมทคอนโทรลกัน แม่บ้านเหลืออด ตวาด 2 แว้ด Cut that out!, you two, or you’ll go to your rooms. (หยุดเดี๋ยวนี้เลยทั้ง 2 คน ไม่งั้นไปอยู่ในห้อง

ได้ผล จ๋อย (ทั้งคู่) ไปเลย

สำนวน You said it. หรือ You can say that again.

ความหมาย ถ้าพูดคำว่า You can say that again. ให้ออกเสียงเน้นหนักที่คำว่า that ทั้ง 2 คำ นี้เป็นภาษาพูด (Inf.) มีความหมายว่า “ที่คุณพูดมานั้นถูกต้องแล้ว” หรือ “พูดอีกก็ถูกอีกนั่นแหละ” มักใช้พูดเสริมเห็นด้วยกับคำพูดของคนอื่น

ตัวอย่างเช่น

สามีภรรยาเพื่อนบ้านมาเยี่ยมเยียนที่บ้าน เราในฐานะเจ้าของบ้านก็เอาน้ำชากาแฟและขนมสไตล์ไทยมาต้อนรับขับสู้

ครับ ตามสไตล์อเมริกัน พ่อชมแหลก This cake is so yummy! (เค้กนี้อร่อยจังเลย) สามีเอ๋ยชม คำว่า Yummy แปลว่า “อร่อย” (delicious)

You said it. (ใช่แล้ว) ภรรยาเสริม

..... เห็นไหมครับ ไปกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

หรือ It’s so hot today! (วันนี้ร้อนฉิบ) หรือ It’s cold in here. (ในนี้หนาวจัง)

You can say that again. (จริงด้วย)

สำนวน Let it go.

ความหมาย:
1) “ปล่อย (ตัว) ไป” “ ไล่ออก (จากงาน) (dismiss)”
ตัวอย่าง
- The police decided to let him go. (ตำรวจตกลงใจปล่อยตัวเขาไป)

2) ปล่อยจากการเกาะกุม เช่น เกาะแขนอยู่ก็ให้ปล่อยแขน ปล่อยมือ ปล่อยวาง

ตัวอย่าง

อย่างเช่น เมื่อสมัยยังหนุ่ม หุ่นยังงาม รวยทรัพย์ ฉลาดเป็นกรด (ใครก็ไม่รู้ แต่รับรองไม่ใช่ผู้เขียนแน่) .... แน่นอนสาวๆต่างพากันล้อหน้าล้อมหลัง Please let go of my hand. (นี่เธอจ๋ามาเกาะแขนฉันทำไม ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ)

- Once he starts on this subject, he never lets go.
(ครั้นเมื่อเขาเริ่มลงมือละก็ คงไม่มีทางจบลงง่ายๆเป็นแน่)

3) ปล่อยมันไปซะ, ลืม (เรื่องนั้น) เสีย, อย่าไปพะวงกับเรื่องนั้นอีกต่อไป

ตัวอย่าง

- Although I was angry at his remark I decided to let it go. (ถึงแม้ฉันจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้าต่อคำพูดของเขา แต่ฉันก็ปล่อยมันไป)

- Don’t get so angry about it. Let it go. (อย่าโกรธไปนักเลย ลืมมันซะ)

- Let it go; we needn't discuss it further. (ปล่อยมันไปเหอะ อย่าได้หยิบมาถกเถียงกันอีกเลย)

สำนวน What`s up?

ความหมาย: เป็นคำทักทาย มีความหมายว่า “เกิดอะไรขึ้น” (What is happening? หรือ What is wrong?) ใช้ทักทายตอนเจอกันของวัยรุ่น มักใช้กับเพื่อนสนิทหรือคนที่รู้จักกันดีเท่านั้น

อย่างเช่นเราเดินเข้าห้องเรียน เจอเพื่อนร่วมแก้งค์ เราอาจทักทายว่า What`s up? (เป็นไง)

ปกติคำตอบก็คือ Not much. (ก็ไม่มีอะไรมาก)

สำนวน What`s the (big) idea?


คำแปล: “เกิดไอเดียเจ๋งเป้งอะไรขึ้นมา” ความหมายก็คือ “ทำไมทำอย่างนั้น” (Why did you do that?) หรือ “นั่นกำลังทำไรอยู่ย๊ะ” ( What are you doing?, What do you think you are doing? What foolishness do you have in mind?) ใช้พูดเมื่อผู้พูดไม่เห็นด้วยกับความคิดหรือการกระทำของอีกคน

อย่างเช่น แอนดรูกับอีริคเป็นหลานลูกครึ่งของผู้เขียน ทั้งคู่ไม่ค่อยแบ่งของเล่นกัน ต่างก็หวงของเล่นของกันและกัน อีริคผู้น้องมีนิสัยชอบแกล้งพี่ชาย พอเผลออีริคมักจะขโมยจักรยานของแอนดรูมาปั่นเล่นเสมอ วันหนึ่งแอนดรูมาพบ What`s the big idea? Why are you using my bicycle? (เกิดบ้าอะไรขึ้นมา ถึงเอาจักรยานไอมาใช้)

- What's the idea of taking the car without permission? (ทำไมเอารถฉันมาขี่โดยไม่ขออนุญาตฉันก่อน)

- You've invited yourself along? What's the big idea! (มาโดยไม่ได้รับเชิญ มาได้ไงนี่)

- Take a six-month-old baby travel to Bangkok? What's the big idea! (เอาเด็กอายุ 6ขวบไปเที่ยวกรุงเทพฯ คงสนุกนะ)

สำนวน What can I say?

ความหมาย: “พูดไม่ออก” “จะให้พูดว่าอะไร” “ไม่รู้จะพูดว่าอะไร (ดี)” ใช้พูดในยามที่ผู้พูดจนแต้ม ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร

What can I say? I made a mistake and I'm sorry. (จะให้พูดว่าไรดีหละ ผมทำผิดไปแล้ว ก็ขอโทษละกัน)

เห็นไหมละครับคนมีสำนึก เมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ยอมรับผิด ...

ขอโทษแล้วหายกันนะ มีอะไรหรือปล่าวววว

สำนวน Some people (just) don’t know when to quit. (บางครั้งใช้ give up หรือ stop)!

ความหมาย: (คนบางคน) ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าเมื่อไหร่ควรหยุด กล่าวคือไม่เข็ดหราบหรือรู้ตัวสักที

อย่างเช่น ที่อเมริกามีบ่อนการพนันมากมาย คนไทยในเมืองไทยส่วนใหญ่รู้จักแต่ลาสเวกัสกัน เลยนึกว่ามีแห่งเดียว แต่ทราบไหมในแคลิฟอร์เนียรวมทั้งรัฐอื่นๆหลายรัฐให้สิทธิพิเศษแก่คนพื้นเมืองชาวอินเดียนแดงให้เปิดบ่อนขนาดย่อมได้อย่างเสรี ปัจจุบันบ่อนประเภทนี้มีกลาดเกลื่อนไปหมด คนไทยหลายคนติดกันงอมแงม คนเวียตนามก็ใช่จะน้อยหน้าแซงพี่ไทยไปเฉย

ลำดวลติดการพนันงอมแงม มีเงินเมื่อไหร่เป็นอันต้องแอบหนีไปบ่อนตีไก่ อุ้ย ... บ่อนคาสิโน
Lumduan kept on gambling. Finally she had no money and had to sell her house. Some people just don’t know when to quit. (ลำดวลติดการพนันอย่งงอมแงม ในที่สุดก็หมดตัวและจำเป็นต้องขายบ้านไป คนบางคนช่างไม่รู้จักคำว่าหยุดเลย)

สำนวน Thanks, but no thanks.

ความหมาย: เป็นการบอกปฎิเสธอย่างสุภาพในความหมายว่า “ขอบคุณมาก แต่ไม่สนจ๊ะ”
นักเรียนไทยที่มาเรียนที่อเมริกา พอเรียนจบ ก่อนกลับเมืองไทยมักจะมีการบอกขายเครื่องมือเครื่องใช้ส่วนตัวกัน รวมทั้งรถยนต์ด้วย เพราะต้องรีบกลับ จึงต้องขายด่วน ราคาส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างจะถูก บางครั้งถูกเหมือนได้เปล่า ผู้เขียนเองก็มีนักเรียนมาบอกขายอยู่บ่อยๆ เหมือนกันบางครั้งก็ช่วยซื้อ บางครั้งก็ต้องเซย์โน

Pope, how would you like to buy my BMW? (อาภพ อยากซื้อรถบีเอ็มไหม)

Thanks, but no thanks. (ไม่จ๊ะ ขอบคุณมาก) ผู้เขียนปฎิเสธไป
เฮ้อ ... เดี๋ยวนี้ขยับฐานะเป็นอาไปแล้ว ไม่นานคงเป็นลุง

That will do.

ความหมาย “พอแล้ว”, “ไม่ต้อง ... อีกต่อไป” (That is enough, do no more) ใช้เมื่อผู้พูดขอร้องให้ผู้ฟังหยุดการกระทำนั้นๆ

ตัวอย่าง:
สมัยยังเล็กอยู่ ลิซ่าลูกสาวผู้เขียนร้องไห้ไม่หยุดเพราะอยากได้ตุ๊กตาบาร์บี้ คุณแม่เลยดุคุณลูก That’ll do, stop crying. (หยุดแค่นั้นเลยนะ อย่าร้อง)

ปรากฏว่าลิซ่าหยุดร้องทันทีเพราะได้ตุ๊กตาสมใจอยาก

หรือลูกๆชอบต่อล้อต่อเถียงกันทุกวัณ เป็นที่รำคาญของพ่อแม่มาก That’ll do. No more arguing. (หยุดเดี๋ยวนี้ ห้ามเถียงกันอีกต่อไป) คุณแม่ตวาดแว๊ด

ครับ เด็กๆคงเชื่อฟังแม่มัน เพราะตั้งแต่นั่นมาไม่เคยเถียงกันอีกเลย ... เสียแต่ว่าตอนนี้มันก็ยังไม่ยอมพูดกัน

หรือแขกมาร่วมทานอาหารที่บ้าน เราในฐานะเจ้าภาพ พอข้าวในจานพล่องก็รีบตักเติมทันที (แบบว่ากลัวเปลืองกับ)

Please don't give me more rice, that will do. (ไม่ขอรับข้าวเพิ่มอีกต่อไปแล้คะ แค่นี้พอแล้ว)
... เป็นไงครับ เพื่อนบ้านก็รู้ทันเหมือนกัน

หรือเด็กๆชอบวิ่งไล่กันรอบๆสระ พลาดท่าลงไปอาจพลัดตกน้ำ มันอันตราย เพราะไม่มีคนเห็น อย่างนี้ต้องห้ามกันเสียหน่อย That will do, children! No running near the pool.

เมื่อต้องการพูดว่า “ไม่เชื่อ”

เมื่อต้องการพูดว่า “ไม่เชื่อ”

เมื่อฝรั่งพูดอะไรมา และเราไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด ไม่แน่ใจว่าเขาพูดจริงพูดเล่น พูดหยอกล้อ เราอาจบอกเขาได้ว่าเราไม่เชื่อ ซึ่งมีวิธีพูดหลายวิธี
บอกว่าไม่เชื่อแบบตรงๆ คือถ้าเราไม่เห็นด้วยอย่างมาก ประเภทที่เรียกว่าหักด้ามพร้า แบบนี้พูดไปแล้วมีหวังถูกค้อน ถูกด่า ถูกตะเพิด หรือขั้นรุนแรงอาจถูกตะบันหน้า ใครอยากทำวิจัยก็ลองเอาประโยคต่อไปนี้ไปลองดูนะครับ ได้ผลอย่างไรก็เก็บเป็นประสบการณ์ส่วนตัวก็แล้วกัน ไม่ต้องมาบอกต่อผู้เขียนนะขอรับและไม่ขอรับผิดชอบด้วย
That’s nonsense. ไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ เป็นเรื่องเหลวไหลจริงๆ
That’s impossible. เป็นไปไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือไม่เชื่อดอก
I don’t believe it. หรือ I don’t believe it at all. หรือ I don’t believe this. ไม่เชื่อดอก หรือที่พูดมาทั้งหมดนะ (ผม) ไม่เชื่อเลย
ตัวอย่างเช่น You said they’re going to build a Disney World in Thailand. I don’t believe it. (คุณบอกว่าเขาจะสร้างดิสนีเวิลด์ที่เมืองไทย ให้อมพระมาพูด ผมก็ไม่เชื่อ)
ที่ต้องขอกันหน่อยก็คือ ให้หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า You lie. (คุณโกหก) หรือ You’re a liar. (คุณเป็นคนที่พูดโกหก) เพราะการพูดตรงๆ ต่อหน้าว่าเขาโกหกโกเจ็ด เป็นการสบประมาท ถือว่าเป็นคำที่ไม่สุภาพอย่างยิ่ง ฝา-หรั่งไม่ชอบนา ถ้าขืนพูดไปขอทำนายว่าคนพูดมีสิทธิชะตาขาด
อย่างเช่น You lie! You said you’re a movie star but you are not. (คุณนะโกหก ไหนบอกว่าเป็นดารา ไม่เห็นเป็นอย่างที่คุยไว้เลย)

บอกว่าไม่เชื่อแบบมีสไตล์ เป็นการพูดแบบอ้อมๆ เล่นสำบัดสำนวน เพื่อให้ดูเก๋ไก๋ ว่าตูมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ ตูเก่ง ตูรู้จริงรู้ถึงกึ๋น อาจจะโชว์ออฟด้วยประโยคต่อไปนี้ (การหัดพูดใช้สำนวนแยะๆ ขอแนะนำนะครับ เพราะเป็นการโชว์ให้เห็นว่าเรารู้จริง)
Yeah, sure. เป็นการพูดในเชิงประชด เวลาพูดอาจทำหน้าทำตายียวนกวนบาทาประกอบด้วยนะครับ เพราะอาจจะสมใจนึก คำพูดนี้เป็นการพูดในทำนองยอมรับ แต่มีความหมายตรงข้ามว่า “ไม่เชื่อ”
Yeah, sure. I’ll never believe that! ใช่เหรอ (แต่) ผมไม่เคยเชื่ออย่างนั้นเลย

No way. แปลตรงตัวก็คือ ไม่มีทาง
อย่างเช่น ไปช้อปปิ้งกัน ออกจากห้างปรากฏรถโดนผู้ไม่ประสงค์ออกนามยืมไปใช้ กลับบ้านบอกแม่ว่ารถถูกขโมย No way. It can’t be true. (เป็นไปไม่ได้ มันไม่น่าเป็นไปได้)
หรืออย่างเช่น สมมติว่าเราจะไป ... เอ๋ ไปไหนดีหวา นึกไม่ออก .... เอาเป็นว่าแฟนผู้เขียนชวนไปช้อปปิ้งก็แล้วกัน เลยหันไปชวนเพื่อนนักช้อป Are you coming along? (ไปด้วยกันไหม)
No way! (โน เว แปลว่าไม่ไป ไม่อยากควักกระเป๋า)

Get out. ออกไปไกลๆ เลย
อย่างเช่นอีตาไตรภพ (ใครก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ผู้เขียนแน่) เป็นคนขี้โม้ขี้คุย ใครก็เบื่อขี้หน้า Get out! Nobody believes that. (ไปไหนก็ไปเลย ไม่มีใครเชื่อคุณดอก)

Get out of here. ไปให้พ้นจากตรงนี้เลย, ไปไกลๆ
ทั้ง Get out และ Get out of here ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า ให้ไปให้พ้นจริง แต่เป็นการเล่นลิ้น ในความหมายว่า ไม่มีใครเชื่อดอก
อย่างเช่น Get out of here! That can’t be true. (ไปไหนก็ไปเลย มันเป็นจริงไปไม่ได้ดอก)

Go on. เป็นการพูดในเชิงประชด แปลว่า “พูด (พล่าม) ไปเหอะ ไม่เชื่อฯฯฯ
อย่างเช่น Go on, you must be joking! พล่ามไปเหอะ คุณแค่พูดตลกๆ ไปอย่างนั้นแหละ
Go on! She never said that. พูดไปเถอะ ไม่มีทางที่หล่อนจะพูดอย่างนั้น

I don’t buy it. หรือ I don’t buy that. ตามเนื้อผ้า ต้องแปลว่า “ชั้นไม่ซื้อดอกยะ” แต่อย่าไปหลงแปลตรงตัวตามที่เห็นนะครับ เพราะคำคำนี้เป็นสำบัดสำนวน (Idiom) อเมริกันเขา มีความหมายว่า “ไม่เชื่อ”
อย่างเช่น Elle says she loves me, but I don’t buy it. (แอ๋วบอกว่ารักผม แต่ผมไม่เชื่อนะ)

Give me a break. บางครั้งพูดว่า Gimme a break. อันนี้ถ้าตีความตามลายลักษณ์อักษร มีหวังเป็นไม่รู้เรื่อง เพราะอาจแปลได้ว่า “ขอ (ซื้อ) เบรก (รถ)” (ผู้เขียนแปลเก่งไหม ฮิๆๆๆ ความจริง break ตัวนี้ไม่ได้แปลว่า เบรกรถนะครับ เพียงแต่ว่าเสียงมันคล้ายกัน ผู้เขียนก็ยกขึ้นมาแซวเล่น ส่วนเบรกจริงๆ ต้องเขียนว่า brake นะครับ) หรือเป็นสำนวนแปลว่า “ขอหยุดพักสักหน่อย” Give me a break ในที่นี้มีความหมายว่า I don’t believe you. คำนี้แนะนำว่าควรนำไปใช้บ่อยๆ เพราะสุดฮิตเชียวนา ขอบอก
อย่างเช่น You're going to run for a mayor? Give me a break! (คุณกำลังจะสมัครเป็นนายกเทศมนตรีเหรอ พูดเล่นหรือเปล่า)
Give me a break! That’s total nonsense. (ตลกเปล่า มันไร้สาระนะ)
You said a gorilla is loose in New York. Give me a break! (คุณบอกว่าลิงกอลิลล่าหลุดมาเพ่นพ่านในนิวยอร์ค เชื่อตายแหละ)

Don’t make me laugh. อย่าทำให้ผมหัวเราะเลย ความหมายก็คือเรื่องที่คุณเล่ามาทั้งหมดนั้นนะ มันเป็นเรื่องตาหลกนะ ตา-หลกจนผมต้องหัวเราะท้องหงาย
อย่างเช่น You said you’re a singer now. Don’t make me laugh. (คุณพูดว่าตอนนี้คุณเป็นนักร้อง มันน่าหัวเราะนะ) โห ... เสียงยังกะเป็ด ใครจะไปเชื่อว่าเป็นนักร้อง

You’re pulling my leg. “เฮ้ย ... อย่ามาดึงขาตูซิ” .... คำนี้ไม่ได้มีความหมายอย่างนั้นนะครับ pull someone leg ในที่นี้เป็นอีเดี้ยม แปลว่า หยอกล้อกันเล่น ไม่ได้ตั้งใจทำหรือพูดอย่างนั้น เป็นคำที่น่าจำไปใช้นะครับเพราะฝาหรั่งอเมริกันใช้พูดกันมาก รับรองได้ว่าเจอบ่อย
อย่างเช่นเราบอกพี่สาวว่าพ่อซื้อรถป้ายแดงให้เนื่องในวันเกิดพี่สาว You’re pulling my leg. You’ve just made it up. (แกนี่ชอบมาแหย่เล่นเรื่อยเลย กุเรื่องขึ้นมาเองใช่ไหม)
หรือ Don’t believe him. He’s just pulling your leg. (อย่าไปเชื่อมัน มันแค่แหย่เล่นเท่านั้นเอง)

I’ll believe it when I see it. แปลว่า ไม่เห็นกะตาก็ไม่เชื่อดอก (เฮ้อ ต้องให้คุณตาอยู่ด้วยถึงจะเชื่อ เฮ้อ... อย่างนี้คุณยายไม่น้อยใจแย่เหรอ)
อย่างเช่น Arnold runs for president? He hates politics? I’ll believe it when I see it.

You’re full of it.
อย่างเช่น You’re full of it. You just don’t know anything about it.
-------------

ถังแตก กระเป๋าแห้ง ….

ถังแตก กระเป๋าแห้ง ….

ในภาษาไทย ยามไม่มีเงิน (ความจริงหมายถึงคนโดยทั่วไป รวมทั้งยาม รปภ. ด้วย) ที่มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ มีวิธีพูดต่างๆ มากมาย เช่น จน ไม่มีเงิน เงินขาดมือ เงินช็อต กระเป๋าแห้ง ถังแตก ไส้แห้ง
ในภาษาอังกฤษก็เช่นกัน มีลูกเล่นลูกชน มีวิธีพูดว่าเราถังแตกมากมายเช่นกัน ดังนี้
(be) broke คำว่า “broke” ปกติหมายถึง แตก หัก ฉะนั้น I’m broke. ถ้าแปลกันตรงตัวน่าจะว่า ตัวผมหัก ว้าว ... ฟังแล้วเสียวไส้และความหมายพิกลๆ อยู่ ไม่ใช่นะครับ คำว่า broke ในที่นี้หมายถึง ถังแตกหรือไม่มีเงินนั่นเอง
อย่างเช่น I'd love to go out with you tonight, but I'm broke. (โห อยากจะออกไปกับพวกคุณคืนนี้จัง แบบว่าไม่มีเงินนะ)
ถังแตก ปกตินิยมพูดว่า I’m broke. หรือ He’s always broke. ฝรั่งบางคนเพิ่มลูกเล่นเข้าไป
อีกคำสองคำเพื่อให้เห็นภาพพจน์ชัดแจ้งแดงแจ๋ว่าจนอย่างไร เป็น I’m dead broke. หรือ I’m flat broke.

go broke ถังแตก ไม่มีเงิน
Bob was so careless with his money, that why he went broke. (บ๊อบสะเพร่าในเรื่องเงินๆ ทองๆ มาก ทำให้ไม่ค่อยมีเงิน)

I’m flatter than a pancake. (informal) ครับ ใครๆ ก็ทราบว่าแพนเค้กนะมันแบนแต๊ดแต๋ ในที่นี้บอกว่าตัวเราแบนกว่าแพนเค้ก ความหมายก็คือจนๆ ไม่รู้ว่าจะจนอย่างไรแล้ว

I’m busted. เป็นคำแสลง คำว่า busted หมายถึง ไม่มีเงินติดกระเป๋าเลย (ถังแตก)

run out of money หมายถึง เงินที่อยู่นะมันร่อยหรอไปหมดแล้ว เป็นการขาดมือเพียงชั่วคราว
อย่างเช่น When my daughter runs out of money, she always calls me for help. (เวลาลูกสาวผมเงินขาดมือ มักจะโทรมาขอเงินอยู่เสมอ)
Well! No more hanging out for me today, I’m running out of money. (วันนี้คงไม่ออกไปไหนนะ แบบว่าไม่มีเงิน)
คำว่า go broke และ run out of money ถ้าใช้ อยู่ในรูปของ Present Continuous คืออยู่ในรูปของเติม –ing เป็น going broke หรือ running out of money หมายถึง เงินที่มีเหลืออยู่นั้นกำลังหมดไปอย่างรวดเร็ว

(be) tapped หมายถึง เงินขาดมือชั่วคราว
เช่นเพื่อนกำลังถังแตก โชคดีเดินไปเจอมันโดยบังเอิญ (ก็ไม่รู้ว่าใครโชคดีกันแน่) I’m trapped. Could you lend me $ 10.00? (ตอนนี้เงินช็อตอยู่ ขอยืมสัก 10 ดอลฯซิ)

have a cash-flow problem เป็นคำพูดแบบสุภาพว่าขาดมือ หมุนเงินไม่ทัน ในที่นี้หมายถึงเงินสดขาดมือเท่านั้น แต่อาจยังมีทรัพย์สินอื่นๆ เช่น รถ บ้าน ที่ดิน
อย่างเช่น เดือนนี้ไม่มีเงินผ่อนดอก เลยโทรไปหาเจ้าหนี้เพื่อขอยืดเวลาจ่าย I’ve a little cash-flow problem. So, could you get an extension on the payment?

I don’t have a dollar (หรือ a penny หรือ a cent) to my name. คำว่า to my name หมายถึง เป็นของเรา

I don’t have a red cent. (informal) หมายถึง ไม่มีสักกะตังค์แดง คำว่า red cent ก็คือ เหรียญเพ็นนีซึ่งมีสีทองแดงนั่นเอง

I’m as poor as a church mouse. เป็นสำนวน หมายถึงจนมาก เปรียบเทียบก็คือจนเหมือนหนูที่ต้องไปอาศัยเศษอาหารตามวัด (ของฝรั่งหมายถึงโบสถ์)
อย่างเช่น When we first got married, we were as poor as church mice. (ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ เราจนจริงๆ)
ครับ 20 ปีให้หลัง ยังจนเหมือนเดิม แต่คราวนี้สุดจนเลย ก็นับว่ารักษาความจนไว้อย่างคงเส้นคงวา ฮาๆๆๆ

My pockets are empty. หรือ I have empty pockets. 2 ประโยคนี้แปลได้ง่ายๆ ก็คือ ไม่มีเงินติดกระเป๋า กระเป๋าแห้งหรือกระเป๋ากลวงนั่นเอง

All I have is the shirt on my back. หรือ I’ve got nothing but the shirt on my back. ความหมายก็คือ จนๆ ไม่มีอะไรติดตัวยกเว้นเสื้อผ้าที่ใส่อยู่เท่านั้นเอง

All I have is my good name. ความหมายก็คือจนเหลือแต่ตัวและชื่อเสียง คำว่า my good name หมายถึง ชื่อเสียง (my reputation)

I don’t know where my next meal is coming from. โห อันนี้ จนหนักถึงขนาดไม่รู้มื้อหน้าจะได้กินเมื่อไหร่ อย่างนี้ต้องเรียกว่าจนสุดๆ

I’ve lost everything. หมายถึง สูญเสียทุกอย่าง ตอนนี้เหลือแต่ตัว

I’m bankrupt. หมายถึง จนถึงขั้นล้มละลาย
พูดถึงเรื่องล้มละลายแล้ว ขอบอกก่อนว่าล้มละลายไทยกับล้มละลายฝรั่งต่างกันโดยสิ้นเชิง ล้มละลายที่เมืองไทยนั้นเจ้าหนี้จะเป็นผู้ฟ้องเราให้หมดตัว มีอะไรก็ยึดไปหมด จนเหลือแต่ตัว แต่ล้มละลายของฝรั่งนั้นเราล้มละลายตัวเอง เป็นการล้มละลายแบบล้มบนลูกฟูกนะครับ คือยังมีทรัพย์สินต่างๆ ครบ แปลกดีไหม

dirt-poor (informal) หมายถึงจนเป็นดินเลย จนมาก คือไม่เหลืออะไร
เช่น Most of the population in this undeveloped countries are dirt-poor and jobless. (ประชากรในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายค่อนข้างจะขัดสนและไร้งานทำ)

ก่อนเป็นความรัก ...


ก่อนเป็นความรัก ... เพียงแค่ชอบพอ
ความรักเป็นความรู้สึกความสัมพันธ์จากใจ รักต้องมาจากใจ ..... ไม่ใช่เกิดจากกระเป๋าตังค์
เรื่องความรักพวกนี้ผู้เขียนไม่ค่อยถนัด ไม่ค่อยสันทัด เพราะด้อยประสบการณ์ จึงไม่ขอพรรณนาให้ยืดยาวนะครับ ไม่ใช่อะไรหรอกคงจะเลยวัยไปหน่อย จะพูดแต่ละทีก็กระดากปาก
... แต่รักพวกนี้ผู้เขียนชอบนะครับ เช่น รักที่จะกิน รักที่จะนอน รักไปเที่ยว รักสบาย


... ที่สำคัญรักตัวกลัวตาย ขอรับ


ความรักมีหลายประเภท แล้วแต่ความรู้สึกและความสัมพันธ์ของแต่ละคน อย่างเช่น รักแบบพ่อแม่ รักแบบพี่น้อง รักแบบเพื่อนฝูง รักตัวเอง (Self-love) รักแบบเด็กๆ แบบบริสุทธิ์ไร้เดียงสา (Puppy love) รักแบบแฟน รักแรก (First Love) รักแท้ (True Love) รักแรกพบ (Love at first sight) .... ส่วนลักขโมยไม่เกี่ยวนะครับ

วันนี้เรามาดูเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของฝรั่งเขาดีกว่า


คำต่อไปนี้ เป็นคำที่มีความหมายว่า “ชอบพอ” แต่ยังไม่แข็งแรงถึงขั้นเรียกว่า “รัก” นะครับ เป็นความรู้สึกแค่ชอบพอเฉยๆ

(be) interested in หมายถึงให้ความสนอกสนใจในตัวผู้ใดผู้หนึ่งเป็นพิเศษ เป็นความรู้สึกพิเศษนอกเหนือไปกว่าเพื่อนธรรมดา เหนือคนอื่น ก็เหมือนที่วัยรุ่นคุยกันในกลุ่มเพื่อนว่าชอบคนนั้นชอบคนนี้


อย่างเช่น เพื่อนเรา 40 แล้ว ยังเวอร์จิ้นอยู่เลย เราใคร่รู้ว่าเพื่อนมีแฟนหรือยัง อาจถามเพื่อนว่า Are you interested in anyone right now? (ตอนนี้แกไปติดอกติดใจใครบ้างหรือเปล่า)


I am interested in her, but I she just wants to be friends, nothing more.
(ผมสนใจในตัวเธอคนนั้นนะ แต่รู้สึกคุณเธอต้องการเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น ห้ามเลยไปกว่านั้น)

(be) attracted to หมายถึง เป็นที่ถูกตาต้องใจหรือเป็นที่ชอบพอ มีเสน่ห์เป็นที่ดึงดูดใจ
อย่างเช่น ถามเพื่อนว่าชอบผู้หญิงประเภทไหนเหรอ What kind of girls are you attracted to? ประเภทขาว สวย หมวย อึ๋ม หรือเปล่า อะไรทำนองนั้น


ปรากฏว่าเพื่อนดันตอบว่า ... ต้องสวยและโง่ ที่สำคัญพ่อตาตายแม่ยายรวย
.... เหอะๆๆๆ เพิ่งรู้ว่ามีสเป็คอย่างนี้ด้วย ดูๆ แล้วเข้าท่าเหมือนกันนิ

have a chemistry หมายถึง เข้ากันได้ดี ให้ความรู้สึกพิเศษ มักใช้กับคนที่เราเพิ่งคบหรือเพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ ก็เกิดการสปาร์คกันซะแล้ว วัยรุ่นสมัยผู้เขียนเรียกว่า “ปิ๊ง” ไม่รู้ว่าวัยรุ่นปัจจุบันเรียกว่าอะไร


ปกติคำว่า chemistry แปลว่า เคมี ฉะนั้น คำว่า have a chemistry อย่าไปหลงแปลว่า มีเคมีอะไรทำนองนั้นนะครับ ตามความเข้าใจของผู้เขียนประสาชอบมั่ว (คือแปลมั่วนะครับ) เดาว่าเมื่อหนุ่มสาวปิ๊งกัน ชอบพอกัน พอสบตากันก่อให้เกิดความตื่นเต้น มือสั่น ใจสั่น มือเท้าอ่อน ร่างกายก็เลยหลั่งสาร (เคมี) ออกมาก ทำให้เราเกิดความรู้สึกรักใคร่พิศวาสที่ได้อยู่ใกล้เขาคนนั้น


... เป็นไง มั่วเก่งไหม นี่ขนาดจบมาทางกฎหมายนะนี่ ยังดำน้ำเก่งเลย ถ้าจบมาทางเคมีคงมั่วเก่งกว่านี้
We went out a few times, but there was no chemistry.


(เราไปเที่ยวกัน 2-3 ครั้งแล้ว แต่ยังไม่สปาร์คกันเลย) พูดง่ายๆ ก็คือ (อีตาคนนี้) ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ไม่มีอารมณ์ตอบสนอง เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น

have a thing for หมายถึง ติดตาต้องใจ มีความรู้สึกในแนวโรแมนติก
I definitely have a thing for her. (แน่นอน ผมชอบเธอนะ)

hit it off หมายถึง เข้ากันได้ดี ถูกคอกัน มักใช้แสดงความรู้สึกเมื่อพบหรือออกเดทกันเป็นครั้งแรก ส่วนใหญ่มักใช้ว่า hit it off well (ไปด้วยกันได้ดี) หรือ didn’t hit off well (ไปด้วยกันไม่ได้)

จากชอบ เริ่มซีเรียส

ครับ เมื่อคนเรารู้จักกัน คบกัน ชอบพอกัน เข้ากันได้ดี ต่อไปก็อาจพัฒนาจากการคบแบบเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักกัน เริ่มซีเรียส เริ่มมีใจให้ แต่ยังไม่พัฒนาการเป็นความรักแบบสมบูรณ์แบบ


sweet on หมายถึง รักชอบลุ่มหลง คลั่งไคล้หรือรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย


Pat must be sweet on Elle, he’s always calling her. (สงสัยอีตาแพ็ทคงชอบพอยายแอลล์นะ เห็นโทรหาจังไม่เคยขาด)

crazy about หรือ crazy for หมายถึง คลั่งไคล้ (แบบชู้สาว), เห่อ (สาว), หลงใหลในตัว (เขา), หลงเสน่ห์ (เขา)


Pat’s been crazy for Elle since the day he met her.
(อีตาแพ็ทหลงใหลคลั่งไคล้ในตัวยายแอลล์ตั้งแต่วันที่พบกัน)

have a crush on หมายถึง รักชอบคลั่งไคล้แบบชั่วขณะ เป็นการลุ่มหลง (ชั่วคราว) มักเป็นการแอบชอบหรือหลงใหลเคลิบเคลิ้มในตัวดารา นักร้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมชั้น อะไรทำนองนี้


I had a crush on her since high school. (ผมชอบเธอตั้งแต่สมัยอยู่ไฮสกูลแล้ว)

dig someone หมายถึง หลงใหล เคลิบเคลิ้มใน ...
อย่างเช่น เราต้องการบอกว่าเราลุ่มหลงในตัวสาว อาจหยอดว่า I dig you. You’re really cute. (เราชอบตัวนะ ตัวนะน่าร้าก.... น่าลาก)


แต่ถ้าสาวรู้จักแต่ว่าคำว่า dig แปลว่า “ขุด” อย่างเดียว ไม่รู้ว่าแปลว่าหลงชอบได้ด้วย คุณเธออาจจะแปลไปเป็นอย่างอื่น อย่างนี้ถือว่าเป็นความซวยส่วนพระองค์ก็แล้วกันที่คุณเธอไม่เก็ท แนะนำว่าให้เอาบทความนี้ให้เธออ่าน


มาลองดูอีกประโยค We’re not in love, but we really dig each other. (แบบว่าเราไม่ถึงกับรักกันนะ แค่คลั่งไคล้กันเฉยๆ นะ)


วันนี้ ความสัมพันธ์เริ่มแค่ชอบพอกันก่อนนะครับ คราวหน้าผู้เขียนขอเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องความรักสักวัน

จีบ ... แปลว่าอะไร


จีบ ... แปลว่าอะไร

คนไทยรุ่นน้องรุ่นหลานหลายคนชอบถามผู้เขียนอยู่เรื่อยว่าคำว่า “จีบ” ... ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร
ผู้เขียนก็มักตอบแบบยียวนกวนอารมณ์ (ดี) ว่า จะเอาจีบไหนเหรอ .... จีบสาวหรือจีบเสื้อผ้า


ถ้าจีบสาวส่วนใหญ่ใช้คำว่า court และ woo ขอรับ ส่วนจีบเสื้อผ้าก็คือคำว่า pleat (จีบ รอยพับผ้า)

วันนี้เรามาคุยกันเรื่องจีบสาวนะครับ


คำว่า court ที่แปลว่าศาลนั่นแหละครับ แต่นั่นเป็นคำนาม เมื่อเป็นคำกริยา คำว่า court มีความหมายว่า จีบ เกี้ยวพาราสี ขอความรัก


We were courting for over ten years.
(เราเกี้ยวพาราสีกันมากว่า 10 ปีแล้ว)


ว้าว! จีบกันมากกว่า 10 ปี ขนาดผู้เขียนจีบสาวไม่เก่ง แต่ยังไม่เคยใช้เวลาถึง 10 ปีเลย ไม่ใช่อะไรดอกครับ ... รอไม่ไหว อย่างนี้ต้องขอชมเชยในความรักจริงและความพยายาม


John is courting Mary.
(จอห์นกำลังจีบแมรี่อยู่)

ส่วนคำว่า woo นั้น ก็แปลว่าจีบ เกี้ยวพาราสี ขอความรัก ได้เช่นกัน ความหมายจริงๆ ก็คือ ขอความรักหรือขอแต่งงาน

คำว่า flirt ก็แปลว่า จีบ เกี้ยวพาราสี ได้เช่นกัน แต่เป็นการจีบแบบเล่นๆ ไม่จริงจัง ภาษาไทยเราใช้ทับศัพท์ แปลว่า ให้ท่า (ผู้ชาย)


อย่างเช่น Are you trying to flirt with me?
(นี่คุณกำลังเกี้ยวพาราสีฉันเหรอ) คำคำนี้ได้ยินในหนังบ่อยๆ


My husband never flirts with other women.
(สาละมีของฉันไม่เคยขายขนมจีบใครเลย)
... ครับ เชื่อครับๆๆ

คำว่า chat up บางครั้งก็ใช้ในความหมายว่าจีบ เกี้ยวพาราสี ได้เช่นกัน
The guys always try to chat up the new secretaries.
(เหล่าผู้ชายมักจะตามจีบเลขานุการคนใหม่)

อีกคำหนึ่งที่พอโมเมแปลว่าจีบได้ ก็คือคำว่า sweet talk หรือตามที่พี่ไทยชอบเรียกว่า ปากหวาน

แต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า 20 กว่าปีที่อยู่อเมริกามาตลอด ผู้เขียนแทบจะไม่เคยได้ยินฝรั่งชวนกันไปจีบสาวเลย


ทำไมหรือครับ


ทั้งนี้ เป็นเพราะความต่างวัฒนธรรมกันขอรับ


ฝรั่งอเมริกันไม่ค่อยมีประเภทจีบมั่ว จีบดะ เจอหน้าจีบ สวยหน่อยจีบ รวยหน่อยจีบ (ที่จริงต้องรวยมากซิถึงจะน่าจีบ) เด็กหน่อยจีบ จีบนักร้อง จีบสาวเสิร์ฟ จีบแม่ค้า ... ไอ้ที่เช้าถึงเย็นถึงแบบพี่ไทย ประเภทตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกอะไรทำนองนั้น ฝรั่งเขาไม่มีกัน


เพราะอะไรหรือ


... เพราะที่อเมริกา ถ้าผู้หญิง say NO เพียงคำเดียว ขอบอกก่อนให้รีบถอยไปตั้งหลักไกลๆ เลย เพราะถ้ายังขืนตามไปตอแยอีก จะถือคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก รับรองคุณเธอเรียกตำรวจแน่
เป็นไงครับ วัฒนธรรมเขาเจ๋งไหม

เชื่อไหมฝรั่งเขาจีบสาวไม่เก่ง สู้พี่ไทยเราไม่ได้ อันนี้ผู้เขียนขอเอาเท้ายัน .... แบบว่าพอรู้นะ เพราะอยู่ทั้ง 2 ประเทศมาพอๆ กัน


หลายท่านคงงงว่า ... อ้าว ฝรั่งมันไม่จีบกัน ไหงมีลูกเป็นโขยง

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าฝรั่งไม่มีการจีบกัน เพียงแต่บอกว่าเขาไม่มีวัฒนธรรมการไปจีบสาวเหมือนเมืองไทย เขาถึงไม่ค่อยได้ใช้คำนี้กัน


... และเขามีวิธีการจีบสาวที่ต่างไปจากพี่ไทยเราประเภทหน้ามือกับหลังมือ


อย่างเช่นผู้เขียนมีลูกชายถึง 3 พระหน่อ เชื่อไหม ... เอาทั้ง 3 คนมารวมกัน ยังจีบสาวสู้ผู้เขียนไม่ได้เลย ฮิๆๆๆ (ขี้โม้ซะไม่มี) ... อันนี้พูดถึงจีบสาวไทยนะครับ


เพราะอะไรหรือ เพราะผู้เขียนเป็นคนไทย เกิดเมืองไทย คุ้นเคยเมืองไทย ... จึงรู้วิธีจีบสาวไทย ส่วนลูกชายผู้เขียนแม้จะเกิดเมืองไทย แต่ทุกคนมาอเมริกาตั้งแต่เล็ก จึงไม่คุ้นเคยอะไรๆ ของเมืองไทย ... สไตล์การจีบสาวของเด็กๆ จึงเป็นแบบฝรั่งไปหมด ทุกคนจึงมีแฟนเป็นฝรั่ง


... ซึ่งผู้เขียนก็ได้แต่นั่งน้ำลายไหล ... แบบว่านั่งภูมิใจในสายเลือดของตัวเอง ในใจชมว่า ... เก่งเหมือนพ่อนิ
สไตล์การจีบของฝรั่งนะเหรือ ... เห็นสาวถูกใจ พี่แกตรงเข้าไปแนะนำตัวคุยด้วยเสียดื้อๆ ... ก็แบบที่เห็นในหนังนั่นแหละครับ หรือไม่ถ้าสาวเกิดปิ๊งขึ้นก่อน ... สาวก็จะเดินมาคุยกับเราดื้อๆ เหมือนกัน


... และคืนนั้นอาจลงเอยไปนอนด้วยกัน


เป็นไง ไหวไหมครับพี่ไทย


... สไตล์พี่ไทยนะหรือ ... ต้องแอบมอง (แต่แกล้งให้คุณเธอรู้) หรือส่งเพื่อนไปทาบทามขอเบอร์ อะไรทำนองนั้น


ก็แค่นั้นเองแหละครับที่ต่างกัน ต่อเมื่อรู้จักกันแล้วอะไรๆ มันก็ง่ายขึ้น ซึ่งถ้าจะว่ากันแล้วเทคนิคการจีบสาวคนไทยเราน่าจะเก่งกว่าฝรั่งอยู่หลายขุม


... เอาใจเก่งกว่า จ่ายไม่อั้นกว่า (จีบสาวไทยเราต้องควักกระเป๋าลูกเดียว ใช่ไหมครับ แต่เชื่อไหมฝรั่งจีบกัน เห็นอยู่บ่อยๆ ว่าต่างคนต่างออกจ่ายใครจ่ายมัน) พี่ไทยปากหวานกว่า
... เสียอยู่หน่อยก็คือตัวเราเล็กกว่า อีกอย่างภาษาเราไม่ดีพอเลยไม่กล้าจีบ ชายไทยที่มีแฟนเป็นฝรั่งจึงไม่ค่อยได้เห็น


อันนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีนะครับ ผู้เขียนมีเพื่อนคนไทยที่มีแฟนเป็นผู้หญิงอเมริกันก็หลายคนอยู่ แต่ยังไงๆ ก็ยังน้อยอยู่ดีเมื่อเทียบกับผู้หญิงไทยมีแฟนเป็นฝรั่ง


วันนี้เลยไม่เป็นอันเรียนภาษากันเลย ดันออกนอกเรื่องไปเสียนี่ คราวหน้ามาคุยกันเรื่องออกเดทกันหน่อยนะครับ


สวัสดีครับ

ก่อนเป็นแฟน

ก่อนเป็นแฟน
friend เพื่อน
หนุ่มสาวคบกันเฉยๆ แบบนี้เรียกว่า เพื่อน
I know her, in fact she's a friend of mine.
(ผมรู้จักเธอ ความจริงแล้วเธอเป็นเพื่อนของผมเอง)

have a crush on หรือ get a crush on (มักตามด้วยคน) หมายถึง รัก หลงใหล ติดอกติดใจ อาจเรียกได้ว่าเป็นรักในฝันหรือรักแบบเพ้อฝัน มักเกิดกับหนุ่มสาววัยรุ่นที่รักชอบหรือหลงใหลในตัวดารานักร้อง
Teenage girls often have a crush on male singer. (สาววัยรุ่นมักจะหลงรักนักร้องหนุ่ม)
I have a crush on Elle. (ผมหลงใหลในตัวแอ๋วมาก)
Is it wrong to have a crush on someone if you are married? (มันผิดหรือไม่ถ้าคุณแต่งงานแล้ว แต่กลับไปหลงรักคนอื่นอีก)

I know you have a crush on Jenny. If you like her, don’t keep it to yourself. You've got to tell her. Maybe she likes you.
(ผมรู้ว่าคุณแอบชอบเจ็นนี่ ถ้าคุณชอบเธอ อย่าเก็บไว้กับตัวเองซิ คุณต้องบอกเธอไป ใครจะไปรู้เธออาจชอบคุณก็ได้

(be) head over heels (in love with someone) หลงรักอย่างคลั่งไคล้ (มักหมายถึงตอนเจอกันใหม่ๆ หรือที่เรียกว่าข้าวใหม่ปลามัน)
คำว่า head over heels ปกติหมายถึงการหกคะเมนตีลังกาในลักษณะที่เอาขาชี้ฟ้า (ไม่ใช่พริกชี้ฟ้านะครับ) คำว่า heels คือส้นเท้านั่นเอง ความหมายแฝงก็คือเสียศูนย์ไปแล้ว คือคนเราเมื่อกลับหัวกลับหางก็ย่อมเสียศูนย์ ป้ำๆ เป๋อๆ มึนๆ เบลอๆ ...และติงต๊อง
In the running race, he was running so fast and lost control, he went head over heels.
(การแข่งขันวิ่งเร็ว เขาวิ่งเสียเร็วมากแต่เสียหลัก เลยตีลังกาคะมำไปเลย)
คำว่า head over heels เมื่อนำมาใช้ในสำนวนเกี่ยวกับความรัก จึงมีความหมายว่าอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง (บ้าไปแล้ว) คือวันๆ ไม่ต้องทำอะไรนอกจากเฝ้าคิดถึงแต่คนที่เรารักตลอดเวลา จะหลับจะนอนจะตื่นก็เห็นแต่ใบหน้าน้องหนู คิดมากจนตัวเองเบลอๆ หรือป้ำๆ เป๋อๆ ไปหมด
I've never seen him like this before! He's completely head over heels about her.
(ผมไม่เคยเห็นเขามีอาการเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย เขาเพ้อรักเธออย่างเป็นบ้าเป็นหลัง)
They're head over heels in love with each other.
(ทั้งคู่คลั่งไคล้ซึ่งกันและกันมาก)
It's obvious that she's head over heels in love with you.
(มันเห็นได้ชัดเลยว่าหล่อนคลั่งไคล้ในตัวคุณอย่างมาก)

(be) going out ออกเดท ไปเที่ยวกันฉันแฟน
They've been going out for six months.
(เขาไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว)
I think I am a lucky guy. I’m going out with Elle. She's really as beautiful as she is intelligent.
(ผมว่าผมเป็นคนที่โชคดีอยู่นา เพราะผมไปไหนมาไหนกับน้องแอ๋วตลอดเวลา เธอทั้งสวยทั้งฉลาด)
I heard you're going out with John?
(ได้ข่าวคุณออกเที่ยว (เดท) กับจอห์นเหรอ)

seeing someone หมายถึงออกเดทหรือคบกันฉันแฟน มักใช้ในรูปของ Continuous Tense (คือ be + V.ing)
อย่างเช่นถ้าต้องการถามว่าตอนนี้มีแฟนหรือยัง อาจถามว่า Are you seeing anyone now?
แต่อาจต้องเป็นหน้าจ๋อยไปเลยนะครับถ้าสาวตอบว่า I’m seeing someone. แสดงว่าสาวนั้นมีแฟนแล้ว ...
หรือคุณมีแฟนแล้ว อยู่ๆ วันหนึ่งฟ้าเกิดผ่าโดยไร้เมฆฝน แฟนคุณมาบอกว่า I’m seeing someone. นั่นก็หมายความว่าคุณอกหักแล้ว เพราะแฟนคุณกำลังทิ้งคุณไปมีแฟนใหม่
I’ve been seeing Elle for a long time.
(ผมคบน้องแอ๋วเป็นแฟนมานานแล้ว)
Did you know that she is seeing an older man?
(คุณรู้เปล่าว่าเธอออกเดทกับแฟนคนมีอายุมากกว่า)

in a relation หมายถึงคู่หนุ่มสาวที่ออกเดทกันเป็นประจำหรือเป็นแฟนกันนาน มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง อันนี้หมายถึงเพศสัมพันธ์นะครับ ส่วนจะเป็นอะไรนั้นอย่าไปรู้เลย
คำว่า in a relation ยังหมายถึงคนที่ยังไม่มีแฟนแต่แอบไปมีสัมพันธ์กับชายหรือหญิงอื่นๆ อีก
Nan has a relationship with a man in her office.
(แนนแอบไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่นที่ทำงานของเธอ)

going steady หมายถึง ออกเดทหรือเป็นแฟนเฉพาะกับแฟนของตนเองเท่านั้น ไม่ได้ไปจีบหรือเดทกับใครอีก (steady relationship)

getting serious หมายถึงเป็นแฟนกันถึงขั้นซีเรียสคืออยู่กันนานหรือเริ่มคิดแต่งงานสร้างครอบครัวกัน
Khun Thom’s getting serious with Toy because he wants her to meet his parents.
(คุณต๋อมเริ่มซีเรียสกับน้องต้อย เพราะถึงขั้นอยากพาไปพบพ่อแม่กันแล้ว)

(ชวนสาว) ออกเดท (Date)


คำว่า “ออกเดท” ภาษาไทยเราไม่มีคำเฉพาะ แต่มักใช้คำว่า “ไปเที่ยว (กับแฟน)” หรือที่ยอมรับขึ้นมาหน่อยก็คือพูดทับศัพท์เสียดื้อๆ ว่า “ออกเดท”
คำว่า “ออกเดท” ในภาษาอังกฤษ หมายถึงการที่หนุ่มสาวออกไปเที่ยว 2 ต่อ 2 ซึ่งการออกไปนี้อาจจะออกไปทานข้าว ดูหนัง ฟังเพลง เต้นรำ หรือทำกิจกรรมต่างๆ นอกบ้าน ในใจหมายมั่นว่าอีตาหน้าจืดคนนี้หรือน้องหมวยคนนี้อาจเป็นแฟนเราในอนาคต พูดง่ายๆ ก็คือมีอารมณ์โรแมนติกเข้ามาเกี่ยวข้อง การออกเดทนี้เป็นขั้นตอนก่อนมาเป็นแฟนกันนะครับ พอเป็นที่ยอมรับว่าเป็นแฟนกันแล้ว จะไม่มีการออกเดทกันต่อไป แต่เป็นการไปเที่ยวฉันแฟนหรือคู่รักกัน ก้าวสู่อีกระดับหนึ่ง
ต่างกับการไปเที่ยวกับเพื่อนนะครับ เพราะถ้าไปเที่ยวกันฉันเพื่อน จะไม่มีความรู้สึกฉันชู้สาว ไม่มีบรรยากาศโรแมนติกเข้ามาเกี่ยวข้อง พูดง่ายๆ ก็คือ .... มันไม่มีการสปาร์คกันนั่นเอง มีความรู้สึกเฉยๆ คบเหมือนเพื่อนหรือคนรู้จักกัน เท่านั้น
คำว่า “ออกเดท” ในภาษาอังกฤษ มีวิธีพูดต่างกัน หลายสไตล์ ดังนี้

date someone หมายถึง หนุ่มสาวออกเดทไปเที่ยวกัน
He is dating his former wife again!
(เขาออกเดทกับอดีตภรรยาเขาอีกแล้ว
I dated her when we were in high school. หรือ Tonight she is dating a former high school sweetheart
(ผมออกเดทกับเธอตั้งแต่เรียนอยู่ ม.ปลายโน่น)
อย่างนี้แหละครับที่ฝรั่งเรียกว่า high school sweetheart (คือเป็นแฟนกันตั้งแต่ตอนวัยรุ่นไร้เดียงสาในเรื่องความรักอยู่ มักจะเป็นความรักแบบบริสุทธิ์ เป็นความรักที่หวานจ๋อย คือต่างฝ่ายต่างยังอ่อนประสบการณ์กัน ตอนนั้นยังไร้มายากัน และเป็นความรักที่มักฝังอยู่ในความทรงจำนานแสนนาน บางคนแม้ยามแก่เฒ่าก็ยังไม่เคยลืมเลือน (ถ้าความจำดี))

have a date หมายถึง มีนัดไปเที่ยวกะหนุ่มหรือสาว (แฟน)
I have a date tonight. (คืนนี้เราจะไปเที่ยวกะแฟน)

go on date หมายถึง มีนัดไปเที่ยวกะ แฟน
อย่างเช่น เพื่อนสาวร่วมห้องของเราเคยแต่แต่งตัวเป็นยายเพิ้ง แต่วันนี้กลับแต่งตัวสวยตั้งแต่หัวจรดเท้า มีการแต่งหน้าทาปากแดงแจ๋ ชุดที่แต่งก็เริ่ดเป็นพิเศษ แบบนี้เข้าข่ายน่าสงสัย เพื่อให้หายข้องใจต้องถามไว้ก่อน Where are you going? (นี่เธอ ... จะไปไหนเหรอ)
... แบบว่าไม่ค่อยอยากรู้เรื่องคนอื่นสักเท่าไหร่หนะ แหะๆๆๆ
I’m going out on a date tonight.
(คืนนี้มีนัดไปเที่ยวกับหนุ่มนะ)

(be) on a date หมายถึง มีนัดไปเที่ยวกะหนุ่ม (แฟน)

ask out หมายถึง ชวน (หนุ่มหรือสาว) ออกเดทด้วย มักใช้ในรูปของ ask someone out คำคำนี้ใช้เมื่อชวนแฟนไปเที่ยวเท่านั้น อย่าเผลอไปใช้กับเพื่อนเด็ดขาด เพราะความหมายของคำว่า ask out มีเรื่องของโรแมนติกเข้ามาเกี่ยวข้อง
อย่างเช่น If you like Joyce, why don’t you ask her out?
(เมื่อคุณชอบจอยซ์ ทำไมไม่ชวนเธอไปเที่ยวละครับ)
สงสัยแรงยุได้ผล ปรากฏว่าอีก 2 วันต่อมา เพื่อนมาบอกว่า I finally asked her out, and she said yes!
(ในที่สุดผมขอเอ่ยปากชวนจอยซ์ออกเดท และเธอก็รับปาก)
สมัยก่อน ผู้ชายมักจะเป็นฝ่ายชวนผู้หญิงออกไปเที่ยว ในโลกปัจจุบัน ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผู้หญิงหลายคนคิดแบบคนสมัยใหม่ว่าถ้ารักชอบใครก็ควรต้องบอกต้องแสดงออก ขืนมาทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเดี๋ยวจะไม่ทันการ อาจถูกสาวอื่นคว้าไปกินเสียก่อน ผู้หญิงในปัจจุบันหลายคนจึงเป็นฝ่ายชวนผู้ชายออกเดท
Nowadays, girls often ask boys out.

go out หรือ ask someone to go out หรือ go out together หมายถึงการชวน (หนุ่มหรือสาว) เพื่อออกเดท และอาจใช้กับการชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงไปเที่ยวด้วยกัน
อย่างเช่น เจอสาวเป็นที่ถูกตาต้องใจ (แต่ยังไม่ได้ถูกกาย) อยากจะนัดไปดูหนังหรือร้องเพลงคาราโอเกะด้วย อาจจะชวนสาว (ชวนแฟน) แบบสุภาพๆ ว่า

Did you ask someone out on a date? (นี่คุณชวนใครออกเดทบ้างหรือเปล่า)
Would you like to go out together sometime? (นี่เธอจ๋า แบบว่าอยากจะไปเที่ยวกันบ้างไหม)
Could we go out together sometime?
Ning, would you like to go out to dinner with me tonight? (น้องหนิงจ๋า คืนนี้เราไปเที่ยวด้วยกันไหมจ๊ะ)
I was wondering if you’d like to go out? (อยากไปเที่ยวกับผมไหมครับ)
Would you like to go out with me?
ส่วนกรณีที่ชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวกัน ก็เช่น คืนนี้ภาพยนตร์ Rush Hour 3 จะเข้าฉายเป็นรอบปฐมฤกษ์ เพื่อให้สนุกก็ต้องชวนเพื่อนไปกันหลายๆ คน Let go out to a movie tonight? (คืนนี้เราไปดูหนังกันดีกว่า)
ตกลงๆๆๆ ไปไหนไปด้วย ขอช่วย (หนึ่ง) บาท

take someone on a date หมายถึงพาออกเดท
Lately, I’ve been taking out Nancy.
(ช่วงนี้ผมพาแนนซี่ออกเดท)

ต่อไปนี้ เป็นคำชวนขอออกเดท ชวนไปเที่ยวแบบ 2 ต่อ 2 ลองฝึกๆ ไปขอสาวฝรั่งเดทดูซิครับ ผู้เขียนขอมอบให้เป็นเคล็ดจีบสาว ไม่ใช่อะไรดอก ... เก็บไว้หลายสิบปีจนแก่เกินกว่าสาวจะมองแล้ว ก็ขอให้คนรุ่นใหม่เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์มั่งดีกว่า
Are you free on .... ? วัน ….นี้ .... คุณว่างไหม จะเป็นวันไหนที่เราต้องการก็ระบุไป เช่น Are you free on Saturday night? (คืนวันเสาร์ คุณว่างไหมครับ)

Are you busy on ...? วันที่ .... คุณติดธุระต้องทำอะไรไหม อันนี้ก็เช่นกัน เราต้องระบุวันไป เช่น Are you busy on January 1st? (วันที่ 1 มกราฯ คุณมีอะไรต้องทำไหม) หรือ Are you busy tomorrow? (พรุ่งนี้ว่างไหม)

What’re you doing this weekend? (วันหยุดนี้ คุณว่างไหม)

What’re you up to this Sunday? (วันอาทิตย์นี้คุณต้องทำอะไรหรือเปล่า คือถามว่าว่างหรือเปล่า)

Would you like to go to dinner? (คุณอยากไปทานข้าวข้างนอก (ด้วยกัน) ไหม)
Could I take you out to ....?
เช่น Could I take you out to dinner? (ผมขอพาคุณไปทานข้าวข้างนอกด้วยกันได้ไหมครับ)
Could I take you out to the movie? (ไปดูหนังกับผมไหมครับ)
I was wondering if you’d like to see a movie? (ไม่ทราบว่าคุณอยากไปดูหนังไหมครับ)
Can I ask you out? (ผมขอชวนคุณไปเที่ยวได้ไหม) อันนี้เป็นการชวนแบบเกรงใจนิดๆ
If you don’t have any plans for tomorrow night, would you like to a party with me? (ถ้าคุณไม่มีโครงการทำอะไรในวันพรุ่งนี้ อยากไปงานปาร์ตี้กับผมไหม)
If you’re not doing anything tomorrow night, would you like to go to a party with me? (ถ้าพรุ่งนี้คุณไม่มีอะไรทำ ไปปาร์ตี้กับผมไหม)

ดวงตก

ดวงตก

ชีวิตคนเราย่อมมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดาเหมือนบ้านเมืองของซานฟรานฯ ที่ลุ่มๆ ดอนๆ สูงๆ ต่ำๆ เพราะเต็มไปด้วยเนินเขาใหญ่น้อยนับร้อยลูก ชีวิตจึงมีแต่ความโลดโผน มีแต่ความตื่นเต้น แต่บางคนชีวิตอาจจะค่อนข้างราบเรียบเหมือนคลื่นใกล้ฝั่งที่ไร้เรี่ยวแรง ทำให้ชีวิตประจำวันไม่ค่อยจะตื่นเต้น ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา

ยามดวงกำลังเฮงอะไรๆ ก็ขึ้น แตะโน่นนิดแตะนี่หน่อยกลายเป็นเงินเป็นทองไปหมด ทั้งเงินทองทั้งชื่อเสียงก็ไหลมาเทมา ช่วงดวงกำลังขึ้นนี่แหละโบราณท่านว่าให้รีบฉวยโอกาส ดังสุภาษิตที่ว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ตักให้มากที่สุด

แต่ช่วงดวงตีตั๋วขาลง ชีวิตมีแต่ความย่ำแย่ บางคนอาศัยทางลัดใช้วิธีลงในแนวดิ่ง เผลอแผล็บเดียวพ่อเล่นเอาหัวปักพื้นเสียนี่ ช่วงดวงตกนี้ความซวยชอบมาเคาะประตูเยี่ยมเยียนถึงบ้าน จะไม่ต้อนรับก็ไม่ได้ ขนาดปิดประตูลงกลอนแล้วยังเข้ามาได้ เฮ้อ .... ยามนี้ทำอะไรก็ผิดพลาดไปหมด เป็นช่วงที่เงินทองที่มีเริ่มไหลไปเทไป ยิ่งถ้าไม่มีเงินทองเป็นทุนอยู่ด้วยแล้วละก็ บอกได้คำเดียวว่าสาหัส

เฉกเช่นผู้เขียนยามนี้ ดวงตกสุดๆ มีเงินเสียเงิน มีทองเสียทอง ..... ช่วงนี้ทำอะไรมีอุปสรรคไปหมด ไม่มีอะไรง่าย จะทำต่อก็ไม่ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะเอาอย่างไรต่อชีวิตเหมือนกัน

ครับ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องดวงกันสักหน่อย ดวงที่จะคุยในวันนี้หมายถึงโชคชะตาชีวิตนะครับ ไม่ใช่ดวงที่ขึ้นตามผิวหนัง

เรามาดูเรื่อง "ดวงตก" กัน

down on one’s luck หมายถึง ดวงตก เป็นช่วงที่ชีวิตประสบปัญหาต่างๆ มากมาย อาจเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียเงินทอง ส่วนใหญ่เป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว

My friend helped me when I was down on my luck, and now I want to help them.

(ตอนผมตกยากเพื่อนๆ ได้ช่วยเหลือผมมากมาย ตอนนี้ถึงคราวที่ผมต้องช่วยเขาบ้างหละ)

down and out หมายถึง หมดตัวหรือแทบจะไม่เหลืออะไรเลย เช่น อาจจะไม่มีที่ซุกหัวนอน ตกงาน กระเป๋าแห้ง

- I just assumed he was a down and out, begging on the street corner.
(ผมคิดว่าเขาคงหมดตัวนะ เห็นยืนขอทานอยู่ที่ริมถนน)

- When disaster hit New Orleans, the Red Cross tried to help people who are down and out.

(ตอนเกิดภัยธรรมชาติที่เมืองนิวออร์ลีน องค์การกาชาดได้เข้าไปช่วยเหลือบรรดาผู้สิ้นเนื้อประดาตัว)

fall on hard time หมายถึง ตกยากลำบาก (เงินขาดมือ) อย่างกะทันหัน ช่วงที่ตกอับ มักหมายถึงช่วงที่ตกงาน ถังแตก

- Millions of people fell on hard times during the great depression of the 1930s.

(ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1930 คนนับล้านต้องอดอยาก)

- In Thailand, when any of our family members fall on hard times, we help them.

(ที่เมืองไทย ยามที่สมาชิกในครอบครัวตกยาก พวกเราทุกคนจะยื่นมือให้ความช่วยเหลือ)

- When we fell on hard times, we worked 2 jobs.

(ยามตกอับ เราแบกงาน 2 จ๊อบ)

(be) hard up แทบจะไม่มีเงิน กระเป๋าแห้ง

- During the Depression, almost everyone was hard up.

(ช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แทบทุกคนอยู่ในภาวะถังแตก)

- We’re a bit hard up at the moment so I can’t really afford to eat out.

(ช่วงนี้เงินเราติดขัดนิดหน่อย ก็เลยไปรับประทานอาหารข้างนอกไม่ได้)

บอกรัก….. ... โคตรรักเอ็งเลย


วันก่อนได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มกับสาว (หรือหนุ่มกับหนุ่ม-สาวกับสาว) แค่ชอบพอกันเฉยๆ ยังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
จีบกันนาน วันนี้เลยเริ่มใจอ่อน ความชอบวิวัฒนาการเปลี่ยนมาเป็นความรัก เริ่มขั้นซีเรียสกันแล้ว
ครับ วันนี้มาพูดถึงความรักกันดีกว่าว่า ... รักเขาแล้วจะบอกเขาเป็นภาษาประกิตอย่างไรดี ริจะจีบฝา-หรั่งมันก็ยุ่งอย่างนี้แหละ
การบอกรักสาวหรือหนุ่ม ใช่ว่าดุ่ยๆจะบอกรักไป ไม่ได้นะครับ มันไม่ง่ายยังงั้น เพราะดีไม่ดีอาจโดนตะเพิดหรือถึงขั้นโดนตบ ... จะบอกรักเขาทั้งทีมันก็ต้องเทคนิคกันหน่อย ต้องดูท่าทีของสาว โอกาส เวลา สถานการณ์และที่ขาดไม่ได้ก็คือบรรยากาศต้องเป็นใจด้วย กล่าวคือ โรแมนติก
ต่อไปนี้เป็นประโยคบอกรัก ก็มีหลายสไตล์ รักชอบสไตล์ไหนก็จำไว้เผื่อไปใช้บอกสาว อันดับแรก ควรมีของขวัญของกำนัลติดไม้ติดมือไป จะเป็นแหวนเพชร 10 กะรัตสักวง เซอร์ไพรซ์ด้วยรถบีเอ็มสักคันก็ไม่ผิดกติกา หรือถ้าทุนทรัพย์น้อยเอาแค่ฮอนด้า ซิวิคสักคันก็ยังดี แค่นี้ก็ชนะใจสาวไปครึ่งหนึ่งแล้ว ... (อีกครึ่ง สงสัยต้องซื้อบ้านให้ ฮิๆๆๆ)
ต้องหัดโรแมนติกเข้าไว้ จากที่ไม่เคยพูดเคยใช้ก็ต้องหัดใช้คำพูดหวานๆ ดอกกุหลาบแดงหัดติดไม้ติดมือไปฝากสาวบ้าง ที่สำคัญก็คือ ต้องบอกให้เธอรู้ว่าคุณเธอสเปเชี่ยลสำหรับคุณอย่างไร เก็บไว้กับตัวเฉยๆใครที่ไหนจะไปรู้ ต้องบอกนะครับ บอกไปเถิดครับคุณนะสวยดั่งนางฟ้า ก่อนพูดอย่าลืมทำตาซึ้งๆ จ้องเข้าไปดวงตาเธอ อาจรวบเอามือสาวมาแนบหน้าอก (ระวังหน่อยนะครับ เพราะทำอย่างนี้เสี่ยงต่อการโดนตบ) I have something special to tell you. ลองท่าทีไปก่อน
ต่อไปนี้เป็นลูกหยอดนะครับ เป็นลูกหยอดนะครับ เป็นคำหวานไว้ชมสาว เป็นคาถาพิชิตใจสาว สาวใดได้ยินได้ฟังก็ย่อมคล้อยตามเสมอ I think you’re special .... ผมคิดว่าคุณเป็นคนพิเศษ .... คุณต่างไปจากคนอื่น I find you attractive.
(คุณเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก)
You really turn me on.
(คุณเร้าใจผมมาก) คำว่า turn someone on หมายถึง เซ็กซี่ เร้าใจ ระวังหน่อยนะครับเพราะคำคำนี้ มีความหมายก้ำกึ่ง พูดไปอาจถูกตบ เพราะความหมายในแง่ลบก็คือ เร่าร้อน สุดเซ็กซี่ ... ทำให้อารมณ์ผมฟุ้งซ่าน เกิดอารมณ์ I’ve never loved anyone like this before.
(ผมไม่เคยรักใครเหมือนคุณมาก่อนเลย)
You’re the most beautiful girl ...
(คุณเป็นคนสวยที่สุดใน ...)
I can’t stop thinking of you.
(ไม่รู้เป็นไง ผมหยุดคิดถึงคุณไม่ได้เลย)
I can’t stop thinking about you.
(ผมคิดถึงคุณทุกลมหายใจ) .... แบบว่าหยุดคิดถึงคุณไม่ได้เลย You’re my everything.
(คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม)
จากนั้นจะรักจะชอบ .. ก็ขอให้กระซิบข้างหูเธอไป ต่อไปนี้เป็นประโยคบอกรัก รักในเชิงโรแมนติกนะครับ ไม่ใช่รักแบบลูกหลานหรือเพื่อน หรือรักไอ้ด่างที่บ้าน I love you. คำคำนี้เรียบและง่ายแต่สุดนิยม เพราะเป็นคำที่ใครก็รู้ "ผม (ฉัน) รักคุณ" ความจริงไม่ได้ใช้กับคนอย่างเดียวนะ ไม่ว่าจะรักอะไรก็ใช้ love ได้ I’m almost twice as old as she is, but I love her and she loves me...and that's all that matters.
(แม้ว่าผมอาจอายุมากกว่าเธอถึง 2 เท่า แต่ผมรักเธอและเธอก็รักผม นั่นแหละคือจุดสำคัญ)
I do love you. บอกก่อน คำคำนี้ ขลังกว่า I love you. เป็นไหนๆ เพราะเป็นการเน้นหรือย้ำว่า ผมรักคุณ (จริงๆ) นะ หลักก็คือ ต้องการเน้นอะไร ก็ให้ใช้ do นำหน้าคำกริยาคำที่เราต้องการเน้น เกลียดหน้ามาก บอกมันไปเลยว่า I do hate you. รับรองฟังแล้วซึ้ง รักจนหมดหัวจายยย ก็ต้องบอกว่า I do love you with all my heart.
คำว่า really เป็นอีกคำหนึ่งที่ใช้เน้น I really love you. แต่คนอมริกัน เป็นชาติที่ไม่นิยมใช้ศัพท์แสงธรรมดาๆ มาพูดจากัน พี่แกชอบใช้สำบัดสำนวนมาใช้ สำนวนบางคำเราอาจจะคุ้นเคย แต่บางคำเกิดมาก็ยังไม่เคยได้ยิน I love you. มันธรรมดาไป ต้องเล่นลิ้นเล่นคำมันถึงจะโก้ I’m in love. หรือ มีความหมายว่า (ชั้น) กำลังมีความรัก คำว่า (be) in love หมายถึง "รัก" นั่นเอง
I’m in love with you. หลัง with มักจะตามด้วยคน เช่น I’m in love with you. ก็แปลง่ายๆรักคุณนั่นแหละ I’m madly in love. ความหมายก็คือรักแบบเป็นบ้าเป็นคลั่ง I’m madly in love with you.
I love you madly.
fall in love รัก, ตกหลุมรัก อยากบอกว่าหลงรักคุณเข้าแล้ว ลองดูประโยคนี้นะครับ I’m falling in love with you. หรือ I’ve fallen in love with you.
- He fell in love with a woman from his university class and they got married several months later.
(เขาหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยเรียนที่มหาวิทยาลัยวิชาเดียวกัน ไม่กี่เดือนต่อมาทั้ง 2 ก็แต่งงานกัน)
fall (for) หลงรัก อย่างเช่น She’s so cute. A lot of guys in our class have fallen for her.
(เธอสุดที่จะน่ารักเลย หลายคนในห้องหลงรักเธอ)
- She always seems to fall for the wrong person and is never happy.
(เธอมักจะรักผิดคนอยู่เรื่อย เลยไม่เคยมีความสุข)
steal someone's heart เป็นสำนวนรัก แปลว่า "(คุณ) แอบขโมยหัวใจ (ฉัน) ไป" ความหมายก็คือ "ทำให้หลงรัก" (cause someone to fall in love with you)
You stole my heart. (รักคุณเข้าแล้วเป็นไร ....)
คำว่า passionate แปลว่า เร่าร้อน คึกคัก กระตือรือร้น ฮึกเหิม อาจมาใช้ในการเน้นได้ เช่น I’m passionately in love with you. หรือ
I love you passionately. I’m madly, passionately in love with you. ประโยคนี้ ใช้ทั้ง madly และ passionately มาเน้น I want you. ผมต้องการคุณ I need you. ผมต้องการคุณ I worship you. ผม (รัก) บูชาคุณ
I adore you. (ฉันรักคุณมากๆๆ) ผมชื่นชมคุณ I ‘m fond of you. คำว่า fond แปลว่า ชอบ หรือ หลง รักแบบคลั่งไคล้ ประโยค I have to have you. และ I’ve got to have you. ผม (จำเป็น) ต้องมีคุณ ชีวิตนี้ผมขาดคุณไม่ได้ I’m yours. (ฉัน) เป็นของคุณ ประโยคนี้ ไม่ได้หมายความว่าไปหลับนอนกับแฟนเสร็จแล้วบอกว่าฉันเป็นของคุณแล้วนะ ความหมายก็คือ (ใจของฉัน) เป็นของคุณ (แล้ว)
Take me, I’m yours. (ใจของฉัน) เป็นของคุณ (แล้ว) รับรักด้วยนะ
บอกรักไปแล้ว ก้าวต่อไป เป็นบทสรุปขอสาวเป็นแฟน "เป็นแฟนผมนะ"
Be mine.
Be mine always.
Be my love.
Be my sweetheart. เป็นสุดที่รักของผม/ชั้นนะ
Be my Valentine. เป็นสุดที่รักของผม/ชั้นนะ
Be my sweetheart. เป็นสุดที่รักของผม/ชั้นนะ
เป็นไงครับ จีบสาวไม่ยากกว่าที่คิดเลย พูดอังกฤษให้เก่งยากกว่าเป็นไหนๆ ... ใช่ไหมครับ

ไตรภพ สุวรรณสุภา
Santa Cruz, CA. USA.

หน้าแตก ... สาวไม่รับรัก (turn down)


บอกรักแล้ว สาวรับรัก ... แฮปปี้ เอ็นดิ้ง
ตอบปฏิเสธเหรอ ... ไม่มีปัญหา ถ้าเจอคำตอบ No, I don’t love you. แบบนี้เข้าใจ๋ๆ ว่าไม่รัก
ปัญหาอยู่ที่ว่าคุณเธอกลับไม่ตอบด้วยคำง่ายๆ นะซิ กลับสะดิ้งตอบด้วยสำบัดสำนวนมา
Please. (ต้องทำเสียงแบบรำคาญหรือขยะแขยงถือเต็มที่) ก็เหมือนกับภาษาไทยนั่นแหละที่เราบอกรักสาว แต่สาวตอบว่า ... "ได้โปรดเถอะ"
ความหมายก็คือ ... ไปให้พ้น รำคาญ (ว่ะ)
ระวังหน่อยนะครับ ได้ยินสาวตอบว่า "Please" ดันไปแปลว่า "ได้โปรดเถอะ" เลยพาลเข้าใจไปว่าสาวตอบรับ .... อย่างนี้ก็ยุ่งตายละครับ เพราะคุยกันคนละเรื่องเดียวกัน
I’m not interested. (ไม่สนยะ)
สาวบอกว่า ... ไม่สนๆๆๆ ได้ยินไหม
I’m seeing someone else.
(ชั้นมีแฟนแล้ว) อันนี้บอกไปเลยชั้นถูกตีตราจองแล้ว หัวใจไม่ว่าง ทุกห้องมีคนอาศัยอยู่แล้ว อย่ามายุ่งได้ไหม
You must be joking.
(คุณพูดตลกไปหนะ) การตอบแบบนี้ถือว่าไม่สุภาพ (rude) นะครับเพราะมีความหมายในทางสบประมาท แต่ถ้าบอกมันไปแล้วมันยังกลับมาทำหน้าจิ๋นอยู่ละก็ มันก็น่าอยู่นะ
You’re kidding me, right?
(คุณล้อฉันเล่น ... ใช่ปะ)
I have other plans.
โห โดนปฏิเสธแบบนี้เจ็บ เธอบอกว่ามีโปรเจ็คท์อย่างอื่นที่น่าสนใจกว่า ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือไม่สนรับรักคุณ
You’re not my type.
(คุณไม่ใช่คนในสเป็คของฉันยะ)
... ไม่หล่อ ไม่รวย หึ ...
Not if you were the last man on earth. (rude) (ไม่สนดอก ... แม้คุณจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายในโลกนี้ก็ตาม)
โห ... ตอบแบบนี้เจ็บปวดที่สุด
My calendar is full.
(ช้าไปต๋อย คิวเต็มแล้วยะ) ไม่รับจองด้วย
Yeah, right?
(เหอะ คงเชื่อหละ) เจอคำตอบแบบนี้แสดงว่าท่านโดนประชดกลับ ขอบอก เตรียมหน้าแตกได้
I’ll think about that ….
(ขอเอาไปคิดเป็นการบ้านหน่อยนะ) ความหมายก็คือสาวตอนนี้ไม่สน ขอเวลากลับไปคิด จากนั้น ..... คุณเธอก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
บางครั้ง การปฏิเสธไม่รับรักไม่จำเป็นต้องบอกปฏิเสธโดยตรง การพูดเปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องอื่น ซึ่งเป็นการบ่ายเบี่ยง เปลี่ยนเรื่องพูด ก็ถือว่าเป็นการไม่รับรักเช่นกัน
I have to wash my hair.
(ฉันต้องไปสระผมก่อนหนะ) เห็นไหมครับการสระผมสำคัญกว่าความรักของคุณเป็นไหนๆ คุณนะไร้ค่าๆๆๆๆๆ
I don’t feel up to it.
(แบบว่าไม่มีอารมณ์พูดถึงหนะ)
I have a headache.
(ปวดหัว(วะ)) รายนี้มาแปลกพอเราบอกรัก มันบอกปวดหัวทันที
สำหรับท่านเป็นฝ่ายที่ถูกขอความรัก จะเป็นชายหรือหญิงก็แล้วแต่ ถึงจะไม่รักไม่ชอบเขา แต่ควรใช้ไม้นุ่มตอบกลับไปนะครับ ขอให้หลีกเลี่ยงการตอบแบบหักด้ามพร้า เพราะมีคนโรคจิตบางคนมาขอความรักสาว แต่กลับพกปืนมาด้วย ... แบบว่าต้องการคำตอบคำเดียวเท่านั้น
... พูดแสลงหู ได้เรื่องแน่
ฉะนั้น ใช้ไม้นุ่มไว้ก่อนนะครับ จะหยอดคำหวานคำชมไว้มั่งก็ยิ่งดี แล้วตามด้วย but (แต่ว่า) ตัวอย่างเช่น
You’re great person, but ….. คุณนะเป็นคนดี เพียงแต่ตอนนี้ ....
It’s very nice to hear that but ….. (ดีจังที่ได้รับทราบ แต่ ...)



ไตรภพ สุวรรณสุภา

anta Cruz, CA., USA

Hold on!

Hold on!
Hold on (for) a minute!

ทั้ง 3 คำข้างต้นมีความหมายเดียวกัน คือใช้พูดเมื่อผู้พูดต้องการให้ผู้ฟัง หยุด (การกระทำหรือคำพูด) เดี๋ยวนี้, หยุดก่อน, รอก่อน มีความหมายในทำนองว่า wait a minute หรือ stop right there

คำว่า minute (นาที) อาจใช้คำว่า moment (ชั่วขณะ, ชั่วประเดี๋ยว) หรือ second (วินาที) แทนได้ เช่น hold on a moment, hold on a minute

อย่างเช่น วันนี้ไปทำงาน พักเที่ยงพนักงานทุกคนต่างก็สวมหัวกันวิเคราะห์ (นินทา) เจ้านาย ปรากฏว่าขณะกำลังวิเคราะห์กันอย่างเมามัน เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งถึงกับหน้าซีด ร้องลั่น

Hey, hold on! Boss is coming.
(เอ้ย ..... หยุดก่อน เจ้านายกำลังมา)
ครับ เท่านั้นแหละครับทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเมามัน ฮาๆๆๆๆๆๆ

ตกเย็นแสนเบื่อ ไม่อยากกลับบ้าน งั้นไปเดินเล่นที่ห้างดีกว่า ฮะอ่า... เจอ Jack ลูกหนี้เก่า... ยืมเงินไปหลายเดือนแล้วไม่ยอมจ่ายแถมหลบหน้าตลอด อย่างนี้ต้องทวงกันหน่อย
ตา Jack ก็ตาไว สมกับเป็นลูกหนี้โดยแท้ พอเห็นปุ๊บก็ทำเป็นไม่เห็นปั๊บ แกล้งหยิบโน่นหยิบนี่ พอได้ทีก้าวหนีจ้ำอ้าวเลย
อะ .... อย่างนี้ก็ต้องไล่กันหน่อย Hold on, Jack! I want to talk to you.
(หยุดก่อน แจ็ค อยากจะคุยอะไรด้วยหน่อย)

โห ... รอให้โง่เหรอ เจ้าแจ็คใส่ตีนหมาโกยแวบ .... หายวับไปกับตา

ว้า .... ตามลูกหนี้ไม่ทัน หนี้หายวับไปกับตา แบบนี้อารมณ์เสีย ไปช้อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ตหาอะไรทำกินที่บ้านดีกว่า ไปถึงก็เข็นรถไปหยิบของใส่รถไป
เจอของที่ต้องการซื้อ เลยจอดรถเข็นไว้ข้างๆ เพื่อดูสินค้า ขณะกำลังเลือกของอยู่ หันมาอีกที อ้าว ... คุณป้ากำลังชุบมือเปิบเข็นรถเข็นของเราไป
Hey! Hold on. You’re running off with my shopping card.
(อ้าว หยุดก่อนคุณป้า จะเอารถเข็นผมไปไหน)
มีหรือคุณป้าจะรอ.... แกทำเป็นไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข็นต่อไปหน้าตาเฉย

อย่างนี้เห็นทีต้องปล่อยคุณป้าไป ใครจะกล้าตามไป ขืนตามไปตอแย เดี๋ยวโดนข้อหารังแกคนแก่
เฮ้อ ... เวรของกรรม นี่แหละคุณป้าอเมริกา


ไตรภพ
Santa Cruz, USA

การสะกดชื่อภาษาอังกฤษ

การสะกดชื่อเป็นภาษาอังกฤษ
การสะกดชื่อตนเองเป็นภาษาอังกฤษฟังแล้วดูง่ายดี ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

แต่ทราบไหมครับ ถ้าจะบอกว่าเราคนไทยมีปัญหาเรื่องการสะกดชื่อเป็นภาษาอังกฤษมากที่สุด ไม่ใช่หมูอย่างที่คิด การสะกดชื่อในที่นี้หมายถึงสะกดชื่อตนเอง (หรือผู้อื่น) ชื่อสถานที่ คนไทยที่อาศัยอยู่ในอเมริกาย่อมรู้ซึ้งถึงปัญหานี้ดี จะสะกดชื่อนามสกุลของตนเองแต่ละทีต้องใช้เวลานานแสนนาน บางคนคุยกันไม่รู้เรื่องเลย

ทำไมหรือครับ มีปัญหาอะไรกันหนักกันหนา

ปัญหาแรกก็คือ ชื่อพี่ไทยเราแต่ละคนต่างวิจิตรมาหรา ชื่อแต่ละชื่อแปลกพิศดารในสายตาฝรั่งเขา บางชื่อยาวกว่าขบวนรถไฟสายใต้ซะอีก ชื่อสั้นๆ มีกันซะเมื่อไหร่ เวลากรอกเอกสารแต่ละที บางครั้งเขียนได้แค่ชื่ออย่างเดียวก็เต็มช่องที่เขาให้ไว้แล้ว ผิดกับชื่อฝรั่งปกติก็สั้นๆ และซ้ำๆ ซากๆ เช่น Robert, John, Paul, Mary เป็นต้น

ปัญหาที่ 2 ก็คือเราเคยชินกับภาษาอังกฤษแบบไทยๆ ออกเสียงแบบไทย การออกเสียงภาษาอังกฤษสไตล์ไทยบางอย่างที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก พูดผิดจนคิดว่าถูก เราฟังจนคุ้นกับสำเนียงไทยเรา ครั้นพอเราไปพูดให้ฝรั่งเจ้าของภาษาฟังโดยใช้เอ๊กเซ่นต์ไทย เชื่อไหมเขากลับทำหน้า Question Mark ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเจ้าตัว f, h, l, r, s, v, w, z ฤทธิ์มากนักแล เรามักจะออกเสียงไม่ถูกกัน พูดทีใด ฝรั่งเป็นอันต้องถาม What! ทุกทีไป

ขอบอกก่อนนะครับพยัญชนะภาษาอังกฤษ 24 ตัว เราออกเสียงถูกต้องประมาณแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

อีกทั้งพยัญชนะบางตัวออกเสียงคล้ายกัน เช่น b กับ p, m กับ n, h กับ s, d กับ t และอื่นๆ อีกมาก คำเหล่านี้ทำให้สับสนได้ง่าย บอกตัวหนึ่งฝรั่งฟังเป็นอีกตัวหนึ่ง สุดยอดเลย

ส่วนท่านที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์คุยกับฝรั่งมากพอ มักจะสะกดชื่อเสียอย่างรวดเร็ว บางคนสะกดรวดเดียวจบคิดว่าฝรั่งเข้าใจ อันนี้เป็นแทบทุกคน อันนี้ขอบอกนะครับว่าเข้าใจผิดถนัด ยิ่งเป็นฝรั่งด้วยแล้วยิ่งต้องบอกช้าๆ ชัดๆ

อีกปัญหาซึ่งก็เป็นปัญหาใหญ่ก็คือพี่ไทยเราเวลาบอกตัวสะกดมักจะไม่รู้ยกตัวอย่างคำ (word) อันนี้ว่ากันไม่ได้เพราะธรรมเนียมของเรามันไม่ต้องยกตัวอย่างนี้ เช่นคนชื่อ กนก .... เราไม่สะกดว่า ก เหมือน ก.ไก่, น เหมือน น. หนู, ก เหมือน ก.ไก่ .... อะไรทำนองนี้

แล้วทีนี้เราจะแก้ไขได้อย่างไร จะทำอย่างไรถึงจะบอกตัวสะกดเพียงครั้งเดียวฝรั่งเข้าใจ

ปัญหาแรก ชื่อไทยยาว สะกดยาก คนไทยหลายคนมาถึงอเมริกาแก้ไขโดยการเปลี่ยนชื่อเป็นฝรั่งทันที อย่างเช่นลูกชายผู้เขียนชื่อปัฐพงศ์ เปลี่ยนเป็น ชื่อ Pat ชื่อเอก ก็เปลี่ยนเป็น Ed อะไรทำนองนี้

ปัญหาที่ 2 ออกเสียงพยัญชนะไม่ถูกต้อง ก็แก้ได้ด้วยการฝึกออกเสียงพยัญชนะให้ถูกต้อง ตัวไหนออกเสียงไม่ได้ ก็ให้หัดฝึกพูดๆๆๆๆๆๆ จนคล่องปาก ทุ่มเวลาให้มันสักวันก็บรรลุอรหันต์แล้ว ตัวอักษรภาษาอังกฤษมีแค่ 24 ตัวเอง ออกเสียงให้ถูกต้องไม่ได้ทั้งหมดก็ให้มันรู้ไป วันเดียวขอให้จบกันไปเลย หมดปัญหาไปตลอดชาติ

อีกอย่างเวลาสะกดชื่อ กรุณาบอกช้าๆ ทีละตัว ขอให้คิดว่าฝรั่งมันไม่เก่งภาษาอังกฤษก็แล้วกัน บอกไปช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ ที่เตือนกันเพราะบางท่านถึงขนาดตื่นเต้นจัด เลยพูดซะเร็วปรื๋อ ผลก็คือ ยิ่งเร็วก็ยิ่งช้า ... ก๊ากๆๆๆ
ส่วนกรณียกตัวอย่างคำ อันนี้ว่าไปแล้วก็ง่ายนะครับ เพราะมันแทบจะเป็นสูตรตายตัวกันเลย ใช้กันเกือบเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ จำได้หมดก็สบายไป หลักก็คือให้บอกคำตัวอย่างที่รู้จักกันทั่วไป จะเป็นคำอะไรก็ได้ที่ฟังแล้วรู้ว่าหมายถึงอะไรทันที ไม่สับสนง่าย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นชื่อคน ดังนี้

A ….. like apple (หรือถ้ายกตัวอย่างเป็นชื่อคน อาจใช้ Andrew )
B ….. like boy (ชื่อคน ให้ใช้ Bob)
C ….. like cat (ชื่อคน ให้ใช้ Charlie)
D ….. like dog (ชื่อคน ให้ใช้ David)
E ….. like Edward (ชื่อคน)
F ….. like Frank (ชื่อคน)
G ….. like George (ชื่อคน)
H ….. like ……. (ชื่อคน ให้ใช้ Henry)
I ….. คำคำนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
J ….. like Jack (ชื่อคน)
K ….. like King
L ….. like Larry (ชื่อคน)
M ….. like Mary (ชื่อคน)
N ….. like Nancy (ชื่อคน)
O ….. like ปกติแล้วฝรั่งจะไม่สับสนคำนี้ ฉะนั้น อาจจะไม่ต้องบอกคำตัวอย่างไปก็ได้ (หรือถ้าต้องการบอกคำตัวอย่าง ก็อาจใช้ คำว่า Olive หรือ Oliver (ชื่อคน) ก็ได้)
P ….. like Peter (ชื่อคน)
Q ….. like Queen
R ….. like Robert (ชื่อคน)
S ….. like sugar (ชื่อคน ให้ใช้ Sam) คำคำนี้แนะนำให้ใช้ Sam จะง่ายกว่า เพราะคนไทยเรามีปัญหาไม่สามารถออกเสียงคำว่า sugar ให้ถูกต้องได้ มิฉะนั้น จะยิ่งสร้างความสับสนยิ่งขึ้น
T ….. like Tom (ชื่อคน)
U ….. like uncle
V ….. like Victor (ชื่อคน)
W ….. like William (ชื่อคน)
X …..
Y ….. like yellow
Z ….. like Zebra

อนึ่ง คำว่า like อาจใช้ for แทนได้

ตัวอย่างเช่น ผู้เขียนชื่อ Tripop Suwansupa

ให้สะกดดังนี้ T like Tom, R like Robert, I like ….., P like Paul, O like Olive, P like Paul …… ก็ไล่สะกดไปเรื่อยๆ นะครับ อย่าลืมสะกดช้าๆ นะครับ

ที่ต้องระวังอีกนิดก็คือกรณีที่ตัวอักษรซ้ำกัน 2 ตัว ถ้าเป็นภาษาอังกฤษแบบอังกฤษแท้แล้ว กรณีนี้ ... ให้ใช้คำว่า double แทน แต่ถ้าเป็นการอ่านแบบอเมริกันแล้ว อย่าใช้ Double นะครับ แต่ให้อ่านตัวนั้นซ้ำไป 2 ครั้งเลย

เช่น spoon (คนอังกฤษ อ่านว่า S-P-ดับเบิ้ลโอ-N แต่คนอเมริกัน อ่านว่า S-P-โอ-โอ-N)



ไตรภพ
Santa Cruz, Calif.
ลูกแหง่

สมัยเด็กๆ ท่านที่เคยเป็นลูกรักลูกชัง ลูกคนโปรด หรือเป็นลูกคนเดียว ท่านมักจะเป็นลูกแหง่ของพ่อแม่ มีอะไร ต้องการอะไรพ่อแม่มักจะทำให้หรือประเคนให้หมด อยากได้อะไรเอ่ยปากอ้อนแค่ 2 คำก็ได้ หรือไม่งั้นแกล้งลงไปนอนดิ้น 2 ที พ่อแม่ก็เป็นอันต้องประเคนให้ทันที

ลูกแหง่มักจะโดนตามใจจนเคยตัว ถูกตามใจจนเสียเด็ก (ภาษาอังกฤษ เรียกว่า spoiled) เด็กประเภทนี้มักมีนิสัยที่ชอบทำอะไรตามใจตนเอง ไม่ค่อยฟังคนอื่น เข้ากับใครไม่ค่อยได้

ภาษาอังกฤษ มีคำว่า “ลูกแหง่” 2 คำ คือ daddy’s girl และ mama’s boy
ทั้ง 2 คำนี้ มีความหมายลึกๆ ไม่เหมือนกันนะครับ

daddy’s girl หมายถึงลูกสาวที่เป็นลูกแหง่ของพ่อ ลูกผู้หญิงนี้มักจะใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อมากกว่าแม่ ลูกสาวจะเอาอะไรก็มักจะอ้อนจากพ่อ โอ๋จากพ่อ daddy’s girl จึงมีความหมายไปทางจุ๋มจิ๋มๆ น่ารักๆ
ส่วนคำว่า mama’s boy (บางครั้งเรียกว่า mother-bonded) หมายถึงเด็กผู้ชายหรืออาจหมายถึงผู้ใหญ่แล้วก็ได้ ไม่เชิงมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า daddy’s girl ความหมายก็คือลูกชายที่ติดแม่ มีความต้องการอยู่ใกล้แม่ตลอดเวลา มีอะไรแม่ทำให้หมด มีลักษณะส่วนตัวขี้อาย ขี้ฟ้อง ความหมายนี้ออกไปทางลบมากกว่า เช่น โดนเพื่อนว่านิดว่าหน่อย หรือโดนชกแค่หมัดเดียว ถลาไปหาผู้เป็นแม่ให้ปกป้องทันที
Tom’s classmates always call him a mama's boy because he runs home with every little problem.
(เพื่อนร่วมห้องของทอมมักจะเรียกทอมว่า “ลูกแหง่ของแม่” เพราะทอมมักจะหนีกลับบ้านเสมอแม้เผชิญปัญหาเล็กน้อย)



ไตรภพ
Santa Cruz


Do you want to step outside?

Do you want to step outside?

ประโยคนี้ บางท่านแปลว่า “คุณอยากจะก้าวออกไปข้างนอกหรือเปล่า” เพราะคำว่า step แปลว่า “ก้าว” step outside จึงแปลว่า “ก้าวออกไปข้างนอก”

แหม เล่นแปลซะตรงตัวอย่างนี้ สงสัยจะเป็นท่านเปาบุ้นจิ้นแต่ปางก่อนแน่นอน ถึงได้เถรตรงนัก ...
แต่ขอกระซิบบอกดังๆ นะครับว่า .... แปลผิดขอรับ ประโยคนี้เป็นสำบัดสำนวนของฝรั่งเขา ไม่ได้มีความหมายว่า “ออกไป (คุย) กันข้างนอก” กันตามตัวอักษรแต่อย่างใด คำภาษาอังกฤษบางคำหรือบางประโยคเราจะไปแปลตรงตัวไม่ได้นะครับ เพราะบางครั้งมันมีความหมายแฝง เราต้องดูเจตนาของผู้พูดรวมทั้งการกระทำเป็นหลัก

คำว่า step เป็นได้ทั้งคำนาม และคำกริยา
ถ้าเป็นคำนาม แปลว่า การก้าวเดิน ที่เห็นใช้มากก็คือ Watch your step. เดินระวังหน่อยนะครับ มักใช้เพื่อเตือนให้ระวังตอนพื้นลื่นๆ หรือพื้นต่างระดับ

แต่ถ้าเป็นคำกริยา แปลว่า ก้าว (เดิน) หรือย่างก้าว เมื่อมาบวกกับคำว่า outside (ข้างนอก) จึงมีความหมายว่า “(เชิญหรือท้าทาย) ออกมาข้างนอกหน่อย”

Do you want to step outside? เป็นการชวนหรือท้าทายผู้ฟังให้ออกไปข้างนอก (เช่น นอกบ้าน นอกที่ทำงาน นอกบาร์ เป็นต้น) เพื่อที่จะยุติข้อโต้เถียงหรือข้อวิวาท ซึ่งปกติแล้วมักจะหมายถึงการตัดสินด้วยการใช้พละกำลัง เช่น ชกต่อยกัน หรือถ้าเป็นสมัยเคาบอยยังครองเมืองก็หมายถึงการท้าดวลปืนกัน ประโยคนี้ท่านมักจะได้ยินมาจากภาพยนตร์บ่อยๆ
ทำไมต้องเป็นข้างนอกหรือ

ก็เป็นเรื่องของวัฒนธรรมของคนอเมริกันเขาล่ะ อันนี้ต่างจากของพี่ไทยเรา มีเรื่องกันนะเหรอ ก็เปรี้ยงกันตรงนั้นเลย แต่น้องฝรั่งเขามีสไตล์ของเขาเอง เท่าที่เห็นก็เก่งแต่ท้า ไม่ค่อยจะมีการลงไม้ลงมือกันสักเท่าไหร่ เลยมักจะท้ากันออกไปข้างนอก

ลองมาดูตัวอย่างกันนะครับว่าฝรั่งเขาเถียงกันอย่างไร
Drop dead! คำนี้แปลว่า “ไปตายซะ” เป็นคำสาปแช่ง ไม่จำเป็นอย่าเอาไปใช้นะครับ ถือว่าไม่สุภาพมากๆ
โดนด่า ถูกดูถูกเหยียดหยามยังงี้ สุดที่จะทนแล้ว All right, I’ve had enough out of you. You want to step outside?
“เอาล่ะ ผมเหลืออดเหลือทนในตัวคุณแล้วนะ พูดอย่างนี้ออกไปชกกันข้างนอกดีกว่า” คำว่า have enough หมายถึง ทนจนสุดจะทน หรือทนไม่ไหวแล้วนะ
Why not? (ได้เลย) แหนะ ... รับคำท้าซะเลย
ครับ นี่แหละครับ การวิวาทสไตล์อเมริกัน เอะอะอะไรหน่อยก็ Do you want to step outside? ผมเองก็เคยโดนท้าทายเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว และรู้ไต๋คนอเมริกันเป็นอย่างดีว่าเก่งแต่ปากแต่ความจริงแล้วบ่มีไก๊ จึงมักจะตามออกไปเสมอ จากนั้นก็ไปท้ากันแหยงๆ กันต่อไปข้างนอก
ยูมันชิกเก้น (Chicken ในที่นี้แปลว่า “ไอ้ขี้ขลาด” นะครับ ไม่ใช่ “ไก่”) บางทีเป็นชั่วโมงก็ยังท้ากันอยู่นั่นแหละ ไม่ค่อยจะมีใครลงมือก่อนกันสักที ..... สู้พี่ไทยก็ไม่ได้ใช่ไหมครับ เจอด่าว่าเป็นชิกเก้นรับรองมีหวังเป็นไข้หวัดโป้งไปตั้งนานแล้ว
ความจริงแล้วฝรั่งเขาไม่ได้ Chicken อย่างที่เราเข้าใจ เขามีเหตุผลของเขา ที่เขาไม่ค่อยจะกล้ากันนั้นเป็นเพราะกฎหมายของเขารุนแรงนะครับ
..... ใครที่ลงมือก่อนเป็นผู้ผิดครับ
ผิดกับของไทยเรา ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ ใช่ไหมครับ


ไตรภพ สุวรรณสุภา
Traipope@gmail.com
Santa Cruz, California

You're fired!


You're fired!
หลายท่านคงรู้จักโดนัล ทรัมพ์ (Donald Trump) อภิมหาเศรษฐีระดับโลกเจ้าของโครงการ Trump อันโด่งดังทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Trump Tower หรือบ่อนกาสิโน Trump
ทรัมพ์เป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ค่อนข้างจะเด็ดขาด เป็นเจ้าของรายการทีวีโชว์ "The Apprentice" อันโด่งดัง ซึ่งมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งที่คนอเมริกันทั่วไปคุ้นเคยเป็นอย่างดี อาจถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของตัวเขาไปเลย
You're fired!
(คุณโดนไล่ออกแล้ว)
ครับ คำคำนี้ลูกน้องของทรัมพ์ทุกคนต่างพากันกลัวกันนักกันหนา เพราะได้ยินอยู่ทุกวัน ต่างพากันนั่งลุ้นไม่รู้ว่าวันไหนถึงคราวที่เจ้านายจะมาพูดคำนี้กับตน จึงเป็นเหตุให้ทุกคนต้องเร่งสร้างผลงานให้เตะตาเจ้านาย
นั่นคือลักษณะความเด็ดขาดในด้านการทำธุรกิจของทรัมพ์ ทำให้เขามีแต่ลูกน้องคุณภาพคับขวดล้นแก้วทั้งนั้น
ครับ You're fired! แปลว่า "ไล่ออก (จากงาน)" เป็นคำหนึ่งที่ท่านควรรู้ โดยเฉพาะท่านที่เป็นเจ้านายคน เผื่อต้องใช้ในยามไล่ลูกน้องออกจากงาน
คำว่า fire ต้องออกเสียงว่า "ฟาย-เอ่อ" นะครับ ไม่ใช่ "ฟาย" หรือ "ไฟ" นะครับ คำคำนี้เป็นคำง่ายๆ แต่เราคนไทยเรามักใช้ผิดกัน
หลักก็คือคำที่ลงท้ายด้วย –re ต้องอ่านออกเสียงว่า “–เอ่อ” เบาๆ แต่พอได้ยิน (ไม่ใช่เน้นเสียง) นะครับ เช่น tire ที่แปลว่ายางรถยนต์ ก็ต้องออกเสียงว่า “ทาย-เอ่อ”
คำว่า retire ต้องออกเสียง “รี-ทาย-เอ่อ” ไม่ใช่ “รีไทร์” ดังคำทับศัพท์ในภาษาไทยเรา
อีกคำหนึ่งที่ควรรู้ ก็คือ I got fired. (ผมถูกไล่ออกจากงาน)
ในอเมริกาทนายความชอบนักแล Got fired? Get a lawyer. (โดนไล่ออกนะหรือ ไปหาทนายความซิ) รับรองฟ้องนายจ้างแหลก ที่อเมริกาไปไล่ใครออกง่ายๆ ไม่ได้นะครับ ผมเองเปิดร้านมาหลายสิบร้านยังไม่เคยไล่ใครออกเลย แค่บีบๆ คั้นๆ เท่านั้นให้เขาออกเอง ฮาๆๆๆ
คำว่า You're fired. แปลว่า “ไล่ออก” เป็นคำที่เราๆ ท่านๆ พอรู้ว่าแปลว่าอะไร แต่ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ยังมีลูกเล่นลูกชนอีกมาก มีหลายสำนวนที่มีความหมายว่า “ไล่ออก” ลองมาดูครับว่ามีอะไรบ้าง

give someone the ax คำคำนี้ชวนให้น่าเอาหัวไปโขกพื้นโดยแท้ เพราะเป็นสำนวนที่ไม่มีความหมายตามศัพท์ที่เห็นนะครับ อย่างที่ทราบกัน คำว่า ax แปลว่า “ขวาน” ฉะนั้น give someone the ax จึงน่าจะแปลว่า "เอาขวานให้คนอื่น" ใช่ไหมครับ ถ้าแปลตามตัวอักษรรับรองเป็นงง ไม่มีทางเข้าใจความหมายที่เขาพูดมา
แต่จะงงไหม ถ้าผมจะบอกว่า give someone the ax แปลว่า ไล่ออก (to fire someone)
เป็นไงบ้างครับ นี่แหละฤทธิ์เดชของอีเดี้ยมหรือสำนวนอังกฤษเขาล่ะ เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการเรียนภาษาของเรา เพราะไม่ได้เน้นเรื่องสำบัดสำนวนฝรั่งกัน ทั้งๆ ที่เขาใช้พูดกันอยู่ทุกวันในชีวิตประจำวัน
มาดูตัวอย่างกันดีกว่านะครับ เช่นวันๆ แนนซี่เอาแต่คุยกับกิ๊กหนุ่ม งานการไม่ค่อยได้ทำ จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้านาย (boss) จับได้ ... Nancy used to talk to her boyfriend on the phone all day at work, until one day her boss finally gave her the ax.
ครับ เจ้านายจับได้จึงยื่นขวานให้เลย ... give her the ax
ถ้าแปลว่า “ยกขวานให้” .... ฟังแล้วไม่เข้าท่าเพราะไม่ได้ความหมาย ซึ่งถ้ามีการให้ขวานกันจริงๆ ล่ะก็อาจจะมีการนองเลือดกันก็เป็นได้ แต่ที่ถูกแล้วต้องแปลว่าแนนซี่ถูกไล่ออกจากงานครับ
- Poor Charlie! He was given the ax on his birthday.
(น่าสงสารชาลีจัง เขาโดนไล่ออกจากงานในวันเกิดเขาพอดี)
นอกจากนี้ give the ax อาจหมายถึง บอกเลิก ยกเลิก (เป็นแฟน) (terminate a relationship abruptly) ก็ได้ เช่น
- Mary gave John the ax after she saw him with another woman
(แมรี่เลิกควงจอห์นหลังจากที่เห็นเขาไปกับผู้หญิงอื่น)
ยังมีอีกคำนะครับที่มีความหมายเดียวกัน คือ get the ax ซึ่งแปลว่า “โดนไล่ออก” (be fired)
- He got the ax at the end of the first week.
(เขาโดนไล่ออกจากงานหลังทำงานได้อาทิตย์เดียว)

(to) get canned เป็นแสลง (Slang) แปลว่า “ถูกไล่ออก” (to get fired) หรือ “ตกงาน” (to lose one's job)
- Linda is a lousy secretary. She deserves to get canned.
(ลินดาเป็นเลขาฯที่ชุ่ยโคตร เธอสมควรโดนไล่ออก)

(to) get sacked ไล่ออก
- Bill finally gave his brother-in-law the sack.
(ในที่สุดบิลก็ไล่น้องเขยออกจากงาน)

(to) let someone go ไล่ออกจากงาน (to fire, to dismiss employees)
- The company let Jim go after discovering he stole some money.
(บริษัทไล่จิมออกจากงานหลังจากที่พบว่าเขาขโมยเงิน)


ไตรภพ สุวรรณสุภา

Santa Cruz, USA
Traipope@gmail.com

Deal or no deal.


ผมชอบเกมโชว์รายการทีวีฝรั่งอยู่รายการหนึ่ง ชื่อรายการของเขาก็เก๋ดี แถมวิธีเล่นก็ง่ายๆ และน่าตื่นเต้น รายการนี้แจกเงินอย่างเดียว แจกแต่ละทีก็เยอะ บางครั้งเป็นล้านดอลฯ ผู้ดำเนินรายการเป็นหนุ่มชื่อฮาววี่ แมนเดล (Howie Mandel) แกศีรษะล้าน (แปลว่าไร้เส้นผม) นะครับ พี่แกมีลีลาการเล่นที่ชวนติดตาม แต่ที่ผมประทับใจไม่ใช่โล้นหล่อฮาววี่นะครับ แต่กลับเป็นนางแบบที่ถือป้าย ซึ่งแต่ละคนทั้งสวยทั้งเซ็กซี่น้องๆ นางแบบเพลย์บอยทั้งนั้น ชวนให้น้ำลายไหล .... อุ้ย ชวนให้รายการนี้น่าติดตาม
เกมโชว์นี้ก็คือ Deal or no deal. แจกเงินแหลกเลยครับ ผู้เล่นจะได้เงินมากเงินน้อยขึ้นอยู่กับดวงที่พกมาแต่ละคนและการตัดสินใจของผู้เล่นว่าจะ "ตกลงหรือไม่ตกลง" ซึ่งก็ต้องตัดสินใจกันอย่างฉับพลันเดี๋ยวนั้นเลย ไม่มีเวลาคิดมาก ทาง Banker หรือนายแบงก์พยายามไม่ให้ผู้เล่นได้รางวัลใหญ่ ก็เลยพยายามเสนอเงินก้อนโตให้เพื่อล่อให้ผู้เล่นหยุดเล่น ซึ่งการเสนอแต่ละครั้งพ่อโล้นฮาววี่จะถามว่า "Deal or no deal" (คือจะตกลงรับไหม) ถ้ารับก็ได้ไปเพราะไม่โลภ ส่วนคนโลภต้องลุ้นต่อไป ผมเคยดูผู้เล่นบางคนได้เงิน 1 เซ็นต์กลับบ้าน และบางคนโชคดีได้รางวัล 1 ล้านดอลฯ
ไม่แน่นะครับ วันหนึ่งผมอาจไปร่วมเล่นในเกมโชว์นี้บ้างก็ได้ ... เผื่อว่าจะรวยกะเขาบ้างครับ
วันนี้ผมไม่ได้มาเขียนเรื่องเกมโชว์นะครับ แต่มาเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับคำว่า deal กัน เพราะคำคำนี้เป็นคำคำหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เป็นศัพท์ที่ควรรู้ตัวหนึ่ง
พอสรุปง่ายๆ ได้ดังนี้ คำว่า deal มีหลายความหมายมาก เป็นได้ทั้งคำกริยาและคำนาม

ถ้าเป็นคำกริยา แปลว่า
1) จัดการ ดำเนินการ
เช่น Let me deal with it. (ขอผมจัดการเอง) ในความหมายนี้ deal ต้องตามด้วยคำว่า with เสมอ
How to deal with it? (วิธีการที่จะเข้าไปควบคุมหรือจัดการ)

2) หรือจะแปลว่าแจกไพ่ก็ได้
คนแจกไพ่ จึงต้องเรียกว่า dealer

แต่ถ้าเป็นคำนาม มีความหมายดังนี้
1) การจัดสรร แจกจ่าย แบ่งปัน
2) การแจกไพ่
3) การซื้อขาย ข้อตกลง สัญญาหรือการติดต่อทางธุรกิจ

คำว่า Deal or no deal มาจากประโยคเต็มว่า Is it a deal, or no deal? มีความหมายในทำนองว่า "จะเอาหรือตกลงตามนี้หรือไม่" ก็เป็นการตกลงตามเงื่อนไขที่เขาเสนอมา กล่าวคือเป็นการเสนอให้อีกฝ่ายรับหรือไม่รับโดยไม่มีตัวเลือกให้ ถ้าตกลง ยอมรับ หรือเห็นด้วยตามนั้น ก็ตอบว่า "It's a deal!" แปลว่า "ตกลงรับตามนั้นจ้า" แต่ถ้าไม่ตกลงตามเงื่อนไขที่เขาเสนอมา ก็ตอบไปว่า It's no deal! คือ "ไม่สนหรือไม่ตกลงจ้า"

ลองมาดูศัพท์สำนวนที่เกี่ยวกับคำว่า deal ที่เราควรรู้นะครับ
Big deal.
1) มีความหมายในทำนองว่า ช่างมีความสำคัญหรือจำเป็นมาก หรือผลที่ตามมาที่สำคัญมาก
- Losing one penny was no big deal.
(เสียไปสักเซ็นต์สองเซ็นต์ฯก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก)
แต่ถ้าตอบว่า It's no big deal! แปลว่า "จะเป็นไรไปเล่า" หรือ “ไม่เป็นไรจ้า"

2) Big deal ยังมีความหมายถึงบุคคลสำคัญด้วย
- She is a big deal in local politics.
(หล่อนเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มการเมืองท้องถิ่น)

3) ถ้าใช้ในประโยคอุทาน (Interj.) คำกล่าวเช่นนี้มีความหมายในเชิงประชดหรือกระแทกแดกดัน สิ่งนั้นหรือคนนั้นไร้ความสำคัญหรือไม่น่าสนใจอะไรเลย มักใช้อยู่ในรูปประโยคว่า Big deal! หรือ It's a big deal! หรือ What’s the big deal? มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า So what? (แล้วไง) หรือ Who cares? (แล้วใครสนเหรอ)

Have (หรือ get) a good deal หมายถึงการได้มาอย่างถูกๆ เป็นลักษณะที่โชคดี
- He got a good deal on his car. คือได้หรือซื้อรถมาได้ในราคาถูก

Square deal (หรือจะใช้คำว่า Fair deal ก็ได้) เป็นศัพท์ที่บัญญัติขึ้นโดยประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ส่วนคำว่า Fair deal เป็นคำสโลแกนของประธานาธิบดีแฮรี่ ทรูแมน ทั้ง 2 คำนี้มีความหมายเหมือนกัน คือหมายถึงยุติธรรมทั้ง 2 ฝ่าย การกระทำที่ซื่อตรง การกระทำที่ยุติธรรม การปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา การแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม (fair treatment)

Raw deal หรือ Rough Deal มีความหมายว่า ไม่เป็นธรรม ถูกเอารัดเอาเปรียบ (crude หรือ unfair)
- After 25 years with the company Bill got a raw deal--no pension, no retirement benefits of any kind, just a gold watch.
(หลังจากทำงานกับบริษัทมา 25 ปี บิลถึงกับถูกทอดทิ้ง ไม่มีเงินบำนาญ เงินหลังเกษียณหรืออะไรก็ตามแต่ ยกเว้นนาฬิกาเรือนทองเพียงเรือนเดียว)

Deal of the day. คือข้อเสนอที่ดีที่สุด (ถูกที่สุด) ไม่มีวันไหนหรือที่ไหนดีกว่านี้แล้ว ตามร้านค้ามักใช้กันในความหมายว่าลดราคาสินค้าสุดๆ


ไตรภพ สุวรรณสุภา
Traipope@gmail.com

I want a drink.


I want a drink.
เคยเขียนมาแล้วในเรื่อง drink ว่า ถ้าใช้คำว่า drink เฉยๆ จะมีความหมายว่าดื่มเครื่องดื่มประเภทมีแอลกอฮอล์ จะเป็นเบียร์ทั้งหลาย ไวน์ สาเก เหล้าขาว อะไรก็แล้วแต่ .... คำว่า Drink ในที่นี้ ไม่ได้มีความหมายว่า "ดื่มน้ำ" แต่อย่างใด จำได้ไหมครับสมัยก่อนเรามีสาวนั่งดริงค์ คำว่าดริงค์ในที่นี้หมายถึงเหล้าเบียร์นะครับ
I need a drink. หรือ I want a drink. จึงหมายความว่า อยากดื่มเหล้า จะไปหาเหล้าดื่มหน่อย ไม่ได้หมายความว่าจะดื่มน้ำนะครับ อย่าเข้าใจผิด ออกเดทกับฝรั่ง ไปกินข้าวด้วยกัน ไปดูหนังกัน เสร็จแล้วฝรั่งบอกว่า I need a drink. แสดงว่าเขาชวนคุณเข้าคลับเข้าบาร์ไปนั่งดริงค์กันนะครับ
Do you want a drink? จะรับเหล้าไหม
Do you drink? คุณดื่มเหล้าไวน์หรือเปล่า
ครับ ถ้าไม่ดื่มเหล้า ก็บอกไป I don't drink. ไม่ดื่มค่ะ
กลับบ้านเมาแอ๋ เดินไปข้างหน้าก้าวถอยก้าว เดินย่ำอยู่ที่เดิมนั่นแหละไม่ไปไหนสักที คุณแม่บ้านทนความทุเรศไม่ไหว Have you been drinking? (ไปดื่มเหล้ามาอีกแล้วล่ะซิ)
No, I don't drink. I quit drinking. ป่าว ผมม่ายด้ายดื่มจ้า เลิก.... มานานแล้ว เอื๊อก .....but I don't quit lying. (แต่ว่ายังไม่เลิกโกหกจ้ะ)
.... ดูมัน ตอบไปน้ำใสๆ เลย
คนบางคนเมาเร็ว แค่จิบเดียวก็เมาแล้ว สาวบางคนแค่ได้กลิ่นก็เมา ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว She shouldn't drink. ไม่ควรดื่มๆ
ในอเมริกา จะดื่มเหล้าต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์นะครับ ขาดเหลือวันเดียวก็ไม่ได้ จะเข้าคลับเข้าบาร์ก็มีการตรวจบัตรอย่างละเอียด อายุ 21 ปีดื่มได้นี้เรียกว่า drinking age (เกณฑ์อายุดื่มตามกฎหมาย)
ถ้าอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ดื่ม ใครเอาเหล้าเบียร์มา คะยั้นคะยอให้ดื่ม ตอกกลับไปเลยว่า I'm not old enough to drink.
จึงเห็นได้ว่า คำว่า Drink ในความหมายทั่วไป หมายถึง ดื่มเหล้าเบียร์ ไม่ได้หมายถึงดื่มน้ำแต่อย่างใด ทีนี้มีปัญหาว่าถ้าต้องการดื่มน้ำล่ะ จะพูดว่าอย่างไร
... หลายท่านอาจตอบว่า drink water เพราะ drink แปลว่า "ดื่ม" ส่วน water ก็แปลว่า "น้ำ" รวมกันแล้ว แปลว่า "ดื่มน้ำ" ... ตรงตัวเป๊ะสไตล์ไทย
ขอบอกนะครับ นั่นมันสำนวนไทย ภาษาอังกฤษแทบจะไม่มีการใช้ drink คู่กับ water เลย อันนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีนะครับ มันมี แต่ใช้กันน้อยมาก เป็นการแปลไทยเป็นอังกฤษแบบตรงตัว (อันตรายอันใหญ่หลวงของการเรียนภาษา)
คำว่า หิวน้ำก็เช่นกัน อย่าไปพูดว่า thirsty water นะครับ เพราะคำว่า thirsty มันแปลว่าหิวน้ำของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปใส่คำว่า water อีก
ถ้าหิวน้ำ อยากดื่มน้ำ
I want some water.
Can I have a glass of water? ขอน้ำสักแก้วได้ไหม
I want something to drink. หรือ I need something to drink. หมายถึงอยากดื่มน้ำ (ในขณะเดียวกันประโยคนี้ต้องระวัง เพราะอาจหมายถึงเบียร์ไวน์ได้ด้วย)
ถ้าหิวน้ำจัด หิวมากๆ คนอเมริกันก็มีสำบัดสำนวนของเขา ซึ่งฟังแล้วชวนงงสิ้นดี ก็คือคำว่า dry as a bone แปลแบบเถรตรงก็คือแห้งเหลือแต่กระดูกผุๆ อะไรทำนองนั้น ความหมายซ่อนเร้นก็คือหิวน้ำมากจนปากคอแห้งไปหมด
After hours of exercise, Ann was all dry as a bone.
(หลังจากออกกำลังกายมาเป็นชั่วโมง แอนรู้สึกกระหายน้ำมาก)
คำว่า dying of thirst ก็แปลว่า หิวน้ำมากเช่นกัน ประเภทว่ากระหายน้ำจวนตายแล้ว
I'm dying of thirst. Can I have a mug of water?
(หิวน้ำจะตายอยู่แล้ว ขอน้ำสักเหยือกซิ)
สวัสดีครับ


ดวงตก

ชีวิตคนเราย่อมมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดาเหมือนบ้านเมืองของซานฟรานฯ ที่ลุ่มๆ ดอนๆ สูงๆ ต่ำๆ เพราะเต็มไปด้วยเนินเขาใหญ่น้อยนับร้อยลูก ชีวิตจึงมีแต่ความโลดโผน มีแต่ความตื่นเต้น แต่บางคนชีวิตอาจจะค่อนข้างราบเรียบเหมือนคลื่นใกล้ฝั่งที่ไร้เรี่ยวแรง ทำให้ชีวิตประจำวันไม่ค่อยจะตื่นเต้น ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา

ยามดวงกำลังเฮงอะไรๆ ก็ขึ้น แตะโน่นนิดแตะนี่หน่อยกลายเป็นเงินเป็นทองไปหมด ทั้งเงินทองทั้งชื่อเสียงก็ไหลมาเทมา ช่วงดวงกำลังขึ้นนี่แหละโบราณท่านว่าให้รีบฉวยโอกาส ดังสุภาษิตที่ว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ตักให้มากที่สุด

แต่ช่วงดวงตีตั๋วขาลง ชีวิตมีแต่ความย่ำแย่ บางคนอาศัยทางลัดใช้วิธีลงในแนวดิ่ง เผลอแผล็บเดียวพ่อเล่นเอาหัวปักพื้นเสียนี่ ช่วงดวงตกนี้ความซวยชอบมาเคาะประตูเยี่ยมเยียนถึงบ้าน จะไม่ต้อนรับก็ไม่ได้ ขนาดปิดประตูลงกลอนแล้วยังเข้ามาได้ เฮ้อ .... ยามนี้ทำอะไรก็ผิดพลาดไปหมด เป็นช่วงที่เงินทองที่มีเริ่มไหลไปเทไป ยิ่งถ้าไม่มีเงินทองเป็นทุนอยู่ด้วยแล้วละก็ บอกได้คำเดียวว่าสาหัส

เฉกเช่นผู้เขียนยามนี้ ดวงตกสุดๆ มีเงินเสียเงิน มีทองเสียทอง ..... ช่วงนี้ทำอะไรมีอุปสรรคไปหมด ไม่มีอะไรง่าย จะทำต่อก็ไม่ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะเอาอย่างไรต่อชีวิตเหมือนกัน

ครับ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องดวงกันสักหน่อย ดวงที่จะคุยในวันนี้หมายถึงโชคชะตาชีวิตนะครับ ไม่ใช่ดวงที่ขึ้นตามผิวหนัง

เรามาดูเรื่อง "ดวงตก" กัน

down on one’s luck หมายถึง ดวงตก เป็นช่วงที่ชีวิตประสบปัญหาต่างๆ มากมาย อาจเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียเงินทอง ส่วนใหญ่เป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว

My friend helped me when I was down on my luck, and now I want to help them.

(ตอนผมตกยากเพื่อนๆ ได้ช่วยเหลือผมมากมาย ตอนนี้ถึงคราวที่ผมต้องช่วยเขาบ้างหละ)

down and out หมายถึง หมดตัวหรือแทบจะไม่เหลืออะไรเลย เช่น อาจจะไม่มีที่ซุกหัวนอน ตกงาน กระเป๋าแห้ง

- I just assumed he was a down and out, begging on the street corner.
(ผมคิดว่าเขาคงหมดตัวนะ เห็นยืนขอทานอยู่ที่ริมถนน)

- When disaster hit New Orleans, the Red Cross tried to help people who are down and out.

(ตอนเกิดภัยธรรมชาติที่เมืองนิวออร์ลีน องค์การกาชาดได้เข้าไปช่วยเหลือบรรดาผู้สิ้นเนื้อประดาตัว)

fall on hard time หมายถึง ตกยากลำบาก (เงินขาดมือ) อย่างกะทันหัน ช่วงที่ตกอับ มักหมายถึงช่วงที่ตกงาน ถังแตก

- Millions of people fell on hard times during the great depression of the 1930s.

(ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1930 คนนับล้านต้องอดอยาก)

- In Thailand, when any of our family members fall on hard times, we help them.

(ที่เมืองไทย ยามที่สมาชิกในครอบครัวตกยาก พวกเราทุกคนจะยื่นมือให้ความช่วยเหลือ)

- When we fell on hard times, we worked 2 jobs.

(ยามตกอับ เราแบกงาน 2 จ๊อบ)

(be) hard up แทบจะไม่มีเงิน กระเป๋าแห้ง

- During the Depression, almost everyone was hard up.

(ช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แทบทุกคนอยู่ในภาวะถังแตก)

- We’re a bit hard up at the moment so I can’t really afford to eat out.

(ช่วงนี้เงินเราติดขัดนิดหน่อย ก็เลยไปรับประทานอาหารข้างนอกไม่ได้)


ไตรภพ สุวรรณสุภา
Santa Cruz, CA

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีพูดขอให้เพื่อนทำงานแทน



นี่เธอ ทำงานแทนชั้นหน่อยได้ไหม
ลิซ่า ลูกสาววัย 17 ของผม เป็นนักเรียนปีสุดท้าย (Senior) ที่ Harbor High School เมือง Santa Cruz ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศ อยู่ทางใต้ของเมือง San Francisco มักจะหารายได้พิเศษ ทำงานพาร์ทไทม์ (Part time) ที่ภัตาคาร Ideal Bar and Grill ซึ่งมีชื่อแห่งหนึ่งของเมือง Santa Cruz ภัตาคารนี้เป็นร้านอาหารแห่งเดียวที่ตั้งอยู่บนชายหาด อันเป็นที่ตั้งของสวนสนุก Boardwalk ซึ่งเพิ่งจะฉลองเบริ์ดเดย์ครบ 100 ปี ไปไม่กี่วันนี่เอง ลูกสาวผมทำหน้าที่เป็นโฮสท์ (host) คอยบริการรับแขกและเอาแขกไปนั่ง บอกก่อนนะครับลูกสาวผมพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่พอจะฟังออก
คำว่า senior ปกติแปลว่ามีอายุมากกว่า มีอาวุโสมากกว่าหรือสูงสุด ถ้าใช้กับนักเรียน ม. ปลาย จะหมายถึงนักเรียนปีสุดท้ายหรือ เกรด 12 นั่นเอง ถ้าใช้กับ นศ ในระดับมหาวิทยาลัย ก็หมายถึงนศ ปีสุดท้ายที่จะจบแล้วนั่นเอง
หลายครั้ง โดนเรียกให้ไปช่วยทำงานแทนคนอื่น ในยามที่ทางร้านขาดคนและต้องการคนทำงานแทน
คำว่า “ทำงานแทน” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “cover” หมายถึงทำงานแทนคนอื่น ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว มักจะใช้ในรูปของ cover my shift (คำว่า shift ในที่นี้เป็นคำนาม หมายถึง “เวรหรือกะการทำงาน”) หรือ cover for someone” หมายถึงการเข้าช่วยทำงานแทนคนอื่น
I got a hot date, can you cover my shift on Friday night? นี่ยู ไอมีเดทกับแฟนนะ ช่วยทำงานแทนวันศุกร์กลางคืนได้ป่าว
Will you please cover for me? I have a doctor’s appointment this afternoon. นี่เธอช่วยทำงาน แทนชั้นหน่อยได้ไหมครับ ชั้นมีนัดต้องไปหาหมอตอนบ่ายวันนี้น๊ะ
นอกจากนี้ คำว่า cover ยังมีความหมายอื่นที่ผมเห็นว่าน่าจะจำไปใช้ได้ ดังนี้นะครับ
แก้ตัวแทนหรือโกหกแทนเพื่อช่วยเหลือ (back up their excuse หรือ going along with their lie) เช่น Last night your mom asked me where you were? I told her that you'd been at my house all night. I covered for you. (เมื่อคืนนะแม่เธอถามฉันใหญ่เลยว่าเธออยู่ไหน ฉันก็เลยบอกไปว่าเธออยู่กับฉันทั้งคืน ฉันแก้ตัวแทนให้นะ)
อีกความหมายหนึ่ง มักได้ยินกันบ่อยๆในหนังตอนตำรวจ(ทหาร) จะบุก มีความหมายว่า (ยิง) คุ้มกัน เช่น Cover my back, I'm goin' in! (คุ้มกันผมหน่อย ผมจะบุกละ)
ท่านผู้อ่านท่านใดที่ข้อสงสัยเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่อเมริกา สามารถสอบถามผมได้นะครับที่

Traipope@gmail.com
ไตรภพ Santa Cruz
1/10/2008

คำอุทาน ... It’s cool!”

It’s cool!” หรือ “That’s cool!” หรือ “That is cool!” เป็นคำอุทานที่แสดงความชื่นชม ในความหมายว่า “ดีจังเลย” หรือ “ดียอดเยี่ยมกระเทียมดองเลย” ซึ่งสมัยหนึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น แต่มาถึงยุคนี้ก็ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไปในสำนวนศัพท์ตลาด หรืออย่างที่เราเรียกว่า “คำสแลง” แม้แต่ในคำพูดเป็นประโยคว่า “Those are cool shoes you are wearing.” คือ “แหมรองเท้าที่เธอใส่อยู่นั่นเก๋ไก๋จังเลย” เป็นต้น

ไตรภพ สุวรรณสุภา
Santa Cruz
1/3/2008